วันเสาร์ที่ 7 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

สมุนไพรดีๆที่ควรใช้ในหน้าหนาว

ฤดูหนาวรับประทานอะไรดี
สำหรับการรับประทานอาหารในช่วงฤดูหนาว เราควรเลือกรับประทานอาหารที่ร้อนและปรุงเสร็จใหม่ๆ ควรมีรสเปรี้ยวอมขมเล็กน้อย และรสเผ็ด เช่น แกงส้มดอกแค แกงขี้เหล็ก แกงป่า สะเดาน้ำปลาหวาน และน้ำพริก เพราะธรรมชาติจะปรับเปลี่ยนไปตามฤดูกาล ผักพื้นบ้านและพืชสมุนไพรในฤดูต่างๆ ก็เปลี่ยนไปเช่นเดียวกัน ในฤดูหนาว มักจะมีสมุนไพรพื้นบ้าน เช่น สะเดา ซึ่งมีรสขม เมื่อกินแล้วจะช่วยแก้ไข้ ทำให้เจริญอาหาร ขี้เหล็กมีสรรพคุณช่วยระบาย ดอกแคแก้ไข้หัวลม ซึ่งเราควรเลือกรับประทานผักพื้นบ้านที่มีอยู่ตามฤดูกาล ส่วนการเลือกเครื่องดื่มในช่วงหน้าหนาวนี้ ควรจะเป็นเครื่องดื่มร้อนๆ เช่น น้ำขิง ชาสมุนไพร เพื่อช่วยให้ชุ่มคอ ลดอาการไอ แก้หวัด ซึ่งป้องกันการเป็นหวัดในช่วงนี้ได้อีกทางหนึ่งด้วย

หน้าหนาวควรดูแลร่างกายอย่างไร
ด้วยอากาศที่หนาวเย็น เราควรอาบน้ำด้วยน้ำอุ่นและเลือกสวมใส่เสื้อผ้าที่หนา แต่บางครั้งการอาบน้ำอุ่นจะทำให้ผิวแห้งง่ายกว่าอาบน้ำเย็น เพราะน้ำมันที่ผิวหนังจะถูกชะล้างออกไป รวมทั้งความชื้นของอากาศที่ลดลง ก็จะเพิ่มให้ผิวแห้งแตกและคันได้ง่าย ดังนั้น สาวๆ ควรจะดูแลร่างกายในช่วงหน้าหนาวนี้เป็นพิเศษ โดยสามารถนำเอาสมุนไพรพื้นบ้านมาประยุกต์ใช้ดูแลผิวพรรณ อย่าง น้ำมันงา ขมิ้นชัน ผิวมะนาว และผิวมะกรูด

สมุนไพรดูแลผิวพรรณ
- น้ำมันงา นำงาดิบประมาณ 1 ถ้วย โขลกให้ละเอียด บีบเอาน้ำมันจากงาเก็บไว้ในขวด ทาผิวตอนเช้าและก่อนนอน น้ำมันงาจะช่วยให้ผิวชุ่มชื้น ลดอาการแห้งแตกและคัน - ขมิ้นชัน มีสรรพคุณช่วยลดอาการคันและช่วยลดอาการผดผื่นตามผิวหนัง เพียงนำขมิ้นชันสดมาล้างให้สะอาด โขลกให้ละเอียด บีบน้ำที่ได้นำมาทาผิว หลังอาบน้ำเช้า-เย็น แต่อาจจะมีสีของขมิ้นติดตามเสื้อผ้าที่สวมใส่ - ผิวมะกรูด น้ำมันที่ผิวของมะนาวและมะกรูด จะช่วยเคลือบผิว ให้ชุ่มชื้น ลดอาการคัน ลดการอักเสบ โดยนำมะนาวที่ใช้แล้ว ส่วนบริเวณผิวด้านนอกของมะนาว มาทาผิวบริเวณที่แห้งคัน เช้า-เย็น

การดูแลสุขภาพด้วยการอาบสมุนไพร
การอาบน้ำอุ่นในฤดูหนาวจะช่วยให้การไหลเวียนของเลือดดีขึ้น เพราะในฤดูหนาว คนส่วนใหญ่มักจะเป็นหวัด คัดจมูก และคันตามผิวหนัง ซึ่งหากนำสมุนไพรที่มีสรรพคุณช่วยลดอาการคัน มาต้มอาบแทนน้ำเปล่า ก็จะช่วยบรรเทาอาการคันได้ดี สมุนไพร ที่หาได้ง่าย ที่ควรนำมาต้มมีดังนี้
• ยอดผักบุ้ง จำนวน 5 ยอด ใช้รักษาอาการคัน
• ใบมะกรูด จำนวน 3-5 ใบ แก้วิงเวียน ช่วยให้หายใจสบาย
• ใบมะขาม/ใบส้มป่อย 1 กำมือ แก้อาการคันตามร่างกาย ช่วยให้ผิวหนังสะอาด
• ต้นตะไคร้ จำนวน 3 ต้น บำรุงธาตุไฟ
• หัวไพล จำนวน 2-3 หัว ลดอาการอักเสบ ปวด บวม
• ใบหนาด จำนวน 3-5 ใบ ช่วยบำรุง แก้โรคผิวหนัง น้ำเหลือง
• หัวขมิ้นชัน จำนวน 2-3 หัว ช่วยสมานแผล แก้คันตามผิวหนัง
• การบูร จำนวน 15 กรัม ช่วยบำรุงหัวใจ
• หัวหอมแดง จำนวน 3-5 หัว แก้หวัดคัดจมูก

เพียงนำสมุนไพรทั้งหมดมาต้มรวมกัน ผสมน้ำเย็นให้พออุ่น แล้วนำมาอาบ สรรพคุณของสมุนไพรก็จะช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของโลหิต ลดอาการคันตามผิวหนัง ช่วยให้หายใจโล่ง ก็จะรู้สึกสบายตัว ไม่ต้องกังวลกับฤดูหนาวแล้ว

ที่มา จากสมาคมนิสิตเก่าจุฬาลงกรณ์http://blog.eduzones.com/racchachoengsao/12940

ระวังโรคผิวหนังอักเสบภูมิแพ้ในหน้าหนาว

นายแพทย์ประวิตร พิศาลบุตร แพทย์โรคผิวหนังและภูมิแพ้ผิวหนัง เปิดเผยเมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายนว่า ช่วงเปลี่ยนฤดูสู่หน้าหนาวนั้น พบโรคผิวหนังอักเสบภูมิแพ้กำเริบได้บ่อย โรคผิวหนังอักเสบภูมิแพ้ (Atopic Dermatitis) เป็นโรคผิวหนังเรื้อรังไม่ใช่โรคติดต่อ ที่มักเริ่มพบในวัยเด็ก ร้อยละ 70 พบประวัติภูมิแพ้ในครอบครัว เช่นประวัติว่าพ่อแม่เป็นหืดหอบ ลมพิษ หรือน้ำมูกไหลเพราะแพ้อากาศ แบ่งลักษณะเป็น 3 ช่วงอายุ คือ ช่วงวัยทารก มักพบเป็นผื่นที่แก้มหรือบริเวณอื่นของใบหน้า หรือตามด้านนอกของแขนขา ลำตัว ช่วงวัยเด็ก ผื่นมักเป็นตามข้อพับแขนขา ผื่นจะแดงหนา อาจคันรุนแรงมาก ช่วงวัยรุ่นและวัยผู้ใหญ่ มักคันมาก และอาการคันมักกำเริบตอนกลางคืน ผื่นมักเป็นตามข้อพับแขนขา ใบหน้า หัวไหล่

นายแพทย์ประวิตร พิศาลบุตร เปิดเผยต่อว่า ผู้ป่วยโรคผิวหนังอักเสบภูมิแพ้ไม่ควรใช้สบู่มาก ไม่ควรนอนแช่ในอ่างอาบน้ำ ไม่ควรอาบน้ำร้อนจัด การเช็ดตัวให้ใช้วิธีซับไม่ควรเช็ดหรือถูแรงๆ ไม่ควรใส่เสื้อผ้าขนสัตว์ที่หนา ควรใส่เสื้อผ้าฝ้ายทอโปร่งๆ ให้พยายามระงับสติอารมณ์ไว้ อย่าเครียด อย่าเกาบริเวณที่คัน ไม่ควรเลี้ยงสัตว์เลี้ยงที่มีขน ขณะนี้กำลังมีข่าวว่า ประธานาธิบดีคนใหม่ของสหรัฐอเมริกาคือโอบามา กำลังหาสุนัขประจำทำเนียบ แต่ต้องเป็นพันธุ์ที่ไม่กระตุ้นโรคภูมิแพ้ เพราะลูกสาววัยสิบขวบเป็นโรคภูมิแพ้

เรื่องนี้สมาคมแพทย์โรคภูมิแพ้อเมริกัน (American Academy of Allergy, Asthma & Immunology) แสดงความเห็นว่า ไม่มีสุนัขพันธุ์ใดที่ไม่กระตุ้นโรคภูมิแพ้ ความเข้าใจที่ว่าโรคภูมิแพ้เกิดจากขนสุนัขนั้นผิด ที่จริงสารก่อภูมิแพ้ในสุนัขนั้นคือโปรตีนที่อยู่ในเศษขี้ไคล น้ำลายและฉี่ ซึ่งสุนัขทุกตัวมีโปรตีนเหล่านี้ ในคนที่เป็นโรคภูมิแพ้ที่ต้องการเลี้ยงสุนัขจริงๆ อาจต้องปรึกษาแพทย์ และไม่ควรให้สุนัขเข้าห้องนอน ควรอาบน้ำให้สุนัขทุกสัปดาห์ ไม่ควรใช้พรมปูพื้นเพราะทำความสะอาดยาก

นพ.ประวิตร กล่าวว่า ผู้ป่วยที่เป็นโรคผิวหนังภูมิแพ้และผู้ปกครองเด็กต้องพยายามเข้าใจว่า แม้ว่าโรคนี้จะก่อให้เกิดความน่ารำคาญเพียงใดก็ตาม โรคนี้ก็ไม่ใช่โรคร้ายแรงถึงชีวิต จึงควรยอมรับสภาพความเป็นจริงที่จะมีชีวิตอยู่กับโรคนี้ให้ได้

ที่มา : www.sanook.com

โรคของหนุ่มสาวออฟฟิศพึงระวัง

หมอนรองกระดูก, เอ็นยึดระหว่างกระดูก, เส้นประสาทและกล้ามเนื้อ อาการปวดคอเป็นอาการที่พบได้บ่อยในทุกเพศ ทุกวัย โดยเฉพาะกลุ่มคนทํางานจากกิจวัตรประจําวันและการทํางานทําให้มีการเคลื่อนไหวในส่วนของคอมาก อาจทําให้มีอาการปวดคอ ซึ่งถ้าดูแลรักษาและปฏิบัติตนไม่ถูกวิธีจะทําให้อาการปวดคอรุนแรงมากขึ้น

สาเหตุของการปวดคอ...
1.กระดูกต้นคอเสื่อมเป็นผลจากอายุที่เพิ่มขึ้นและการใช้งานหนักในบางอาชีพ
2. การบาดเจ็บที่บริเวณคอ เช่น กระดูกคอหัก, หมอนรองกระดูกเคลื่อน, เอ็นและกล้ามเนื้อรอบข้อต่ออักเสบ3. จากการอักเสบในผู้ป่วยโรคข้อ เช่น รูมาตอยด์
4.อิริยาบถที่ผิดสุขลักษณะ

อาการที่พบ....
- มีอาการปวดตื้อๆ ที่ศีรษะหรือท้ายทอย
- ปวดคออาจร่วมกับมีอาการปวดร้าวลงบ่า หัวไหล่ แขน สะบัก
- มีอาการชาที่แขนหรือนิ้วมือ และอาจพบอาการอ่อนแรงของกล้ามเนื้อแขนร่วมด้วย
- คอเคลื่อนไหวได้น้อยกว่าปกติ และมีอาการเจ็บร่วมด้วย
- บางครั้งอาจพบจุดกดเจ็บที่กล้ามเนื้อต้นคอและบ่า

การรักษา....
1.การรักษาทางยาเพื่อลดการอักเสบและบรรเทาอาการปวด
2.การรักษาทางกายภาพบําบัดใช้ร่วมกับการรักษาทางยา
2.1 การประคบด้วยความร้อนหรือเย็นบริเวณกล้ามเนื้อต้นคอที่ปวด
2.2 การรักษาโดยใช้เครื่องมือที่ทําให้เกิดความร้อนลึก เช่น ultrasound, shortwave diathermy
2.3 การดึงคอ เพื่อลดการกดทับของเส้นประสาทคอ และลดอาการเกร็งของต้นคอ
2.4 การบริหารคออย่างถูกวิธีและเหมาะสมกับสภาพของอาการที่เป็นเพื่อเพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อคอ
2.5 การใช้เครื่องมือทางกายภาพบําบัดแต่ละชนิดพิจารณาจากสาเหตุและความรุนแรงของอาการปวดคอ

3.การผ่าตัด เมื่อรักษาทางยา และกายภาพบําบัดไม่ได้ผล หลีกเลี่ยงสาเหตุที่ทําให้เกิดอาการปวดคอ เช่น ไม่นอนหมอนสูงเกินไป, ไม่สะบัดคอแรงๆ เพื่อแก้ความเมื่อย, ไม่เกร็งคอทํางานในท่าใดท่าหนึ่งนานๆ, จัดอุปกรณ์ในการทํางานเช่น โต๊ะ, เก้าอี้, computer ให้เหมาะสมกับลักษณะรูปร่างของคนทํางานไม่สูงเกินไป ไม่ต่ำเกินไป

[ ที่มา ]
ข้อมูลจาก Group :: CITYLIFE :: www.daradaily.com เว็บแรกสู่โลกดารา

วันพุธที่ 4 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

วิธีดูแลรักษาสุขภาพแบบง่ายๆ

เรื่องสุขภาพที่ไม่ควรมองข้าม

1. การดื่มน้ำปริมาณมากในเวลาอันรวดเร็วอาจก่อให้เกิดสภาวะน้ำเป็นพิษ เนื่องจากเลือดเจือจาง ร่างกายจึงขับโปแตสเซียมออกจากเซลล์เพื่อปรับสมดุลระหว่างน้ำในเซลล์และนอกเซลล์ ผลที่ตามมาคือเป็นตะคริว กล้ามเนื้อเกร็ง หากเกิดอาการเกร็งที่สมอง หัวใจ หรือปอด จะทำให้ระบบหายใจล้มเหลวและเสียชีวิตได้ แต่ไม่ต้องกังวลจนเกินไป เพราะหากดื่มน้ำทีละเล็กทีละน้อย แม้ดื่มมากกว่าปกติก็ไม่เป็นอันตรายเพราะไตจะขับออกมาเป็นปัสสาวะ และถ้าเมื่อไรมีอาการจุกนั่นแสดงว่าดื่มน้ำมากไป ควรหยุดได้แล้ว

2. การปล่อยให้ตนเองหิวอาจนำไปสู่โรคร้าย เพราะความหิวกระตุ้นร่างกายให้หลั่งฮอร์โมนความเครียด ซึ่งหากเกิดขึ้นเป็นประจำจะทำให้เกิดโรคความดันโลหิตสูง โรคหัวใจหรือเบาหวานได้ ลองควบคุมความหิวด้วยการแบ่งมื้ออาหารจากวันละ 3 มื้อเป็นมื้อเล็กๆ 5-6 มื้อต่อวัน

3. ชา กาแฟ รวมถึงเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนไม่เหมาะกับผู้ที่มีอาการปวดหลัง เพราะคาเฟอีนลดการหลั่งสารเอนโดรฟีนซึ่งเป็นสารธรรมชาติที่ร่างกายผลิตขึ้นและมีฤทธิ์ลดอาการปวดตามอวัยวะต่างๆ

4. วิธีง่ายๆในการดูแลสุขภาพคือ หลังจากตื่นนอนทุกเช้า จะดื่มน้ำส้มสายชูที่หมักจากผลแอ๊ปเปิ้ล ผสมกับน้ำผึ้งอย่างละ 1 : 1 ใส่น้ำอุ่นคนให้เข้ากันแล้วค่อยเติมน้ำแข็งลงไปเพื่อให้ทานง่ายและมีรสชาติดีขึ้น ซึ่งวิธีนี้จะไปช่วยการดูดซึมของระบบลำไส้ และการเผาผลาญของร่างกาย แต่โรคบางโรคอาจเกิดจากสุขภาพจิตที่อ่อนแอ ในหนึ่งอาทิตย์จึงควรจะมีวันพักผ่อนอย่างจริงจังหรือทำกิจกรรมที่ผ่อนคลาย เช่น เล่นโยคะ เพื่อฟื้นฟูสุขภาพกายและลดมลภาวะทางจิตใจไปพร้อมๆ กัน

5. การนอนดึกคืนวันศุกร์-เสาร์แล้วตื่นสายในวันเสาร์-อาทิตย์ ทำให้นาฬิกาชีวภาพของร่างกายตั้งเวลาตื่นใหม่ เมื่อถึงวันจันทร์จึงมีอาการอิดเอื้อนไม่อยากตื่น ทั้งยังทำให้ขาดสมาธิในการทำงานหรือเรียนหนังสืออีกด้วย

6. แสงแดดยามเช้าไม่ได้ช่วยให้กระดูกแข็งแรงเท่านั้น แต่การออกกำลังกายกลางแดดในช่วงเวลาดังกล่าวยังช่วยให้ร่างกายผลิตสารเอนโดรฟีน ซึ่งเป็นสารต่อต้านอาการซึมเศร้าตามธรรมชาติอีกด้วย

7. ความเครียดเป็นตัวการทำลายผิวที่ร้ายแรงที่สุด ฉะนั้นเราต้องปรับความคิดใหม่ และใช้ร่างกายเราอย่างทะนุถนอมตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า ใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่เหมาะสม หาเวลาออกกำลังกายบ้าง และรับประทานอาหารดีๆ

8. แอ๊ปเปิ้ล แตงโม กล้วย กีวี มีประโยชน์ แต่ถ้าคุณรับประทานยาปฏิชีวนะอยู่ควรหลีกเลี่ยงผลไม้เหล่านี้เพราะบูดง่ายในลำไส้ อาจเกิดการอักเสบในระบบทางเดินอาหารได้

9. การไอเรื้อรังอาจเกิดจากการติดเชื้อไวรัส ยาปฏิชีวนะที่แพทย์สั่งเพื่อรักษาอาการหวัดไม่สามารถฆ่าเชื้อไวรัสได้ ให้ใช้วิธีที่สุดแสนธรรมดาแต่ได้ผลมากกว่าคือ ดื่มน้ำบ่อยๆ เพื่อลดเสมหะในทางเดินหายใจ อมยาอมให้ลำคอชุ่มชื่นอยู่ตลอดเวลา และนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอเพื่อให้ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ แค่นี้ก็หายแล้ว

10. การที่เราคิดว่าตัวเองมีสุขภาพดี แถมอายุยังน้อย ทำให้เราชะล่าใจในการดูแลรักษาสุขภาพ เวลาเกิดอะไรผิดปกติขึ้นกับร่างกายจะคิดว่าช่างมัน เดี๋ยวคงหายเอง ซึ่งไม่ถูกต้อง

11. เมื่อมีอาการเท้าและข้อเท้าบวมให้นั่งยองๆ ทุกวันๆ ละ 15 นาที แล้วขยับข้อเท้าไปข้างหน้าและข้างหลัง เพื่อช่วยให้โลหิตไหลเวียนได้ดีขึ้น หลังจากนั้นใช้แปรงที่ขนทำจากวัสดุธรรมชาติ แปรงผิวหนังเบาๆ เริ่มบริเวณฝ่าเท้าซึ่งเป็นศูนย์รวมของเส้นประสาททั่วร่างกาย แล้วค่อยๆ ปัดไล่ขึ้นมาที่ข้อเท้า น่อง ต้นขา ท้อง แขนไปจนสุดที่มือทั้งสองข้าง (ยกเว้นผู้ที่เป็นเบาหวาน เพราะเสี่ยงจะเกิดบาดแผล) จากนั้นอาบน้ำอุ่นแล้วตามด้วยน้ำเย็น จะช่วยให้เลือดไหลเวียนได้ดีขึ้น

12. ผู้ที่เป็นโรคเบาหวานและรับประทานไข่มากกว่าอาทิตย์ละ 1 ครั้ง เสี่ยงเป็นโรคหัวใจมากขึ้น13. ผู้ที่รับประทานไข่เป็นเวลา 8 อาทิตย์ลดน้ำหนักได้มากกว่าผู้ที่ไม่รับประทานถึง 65 เปอร์เซ็นต์ และรอบเอวลดลงเกือบสองเท่า เพราะผู้ที่รับประทานไข่รู้สึกอิ่มกว่าการรับประทานขนมปัง ทำให้รับประทานอาหารกลางวันและอาหารเย็นน้อยลง

14. การรับประทานอาหารไปดูหนังไปทำให้รับประทานอาหารมากขึ้นโดยไม่รู้ตัว แม้ว่าจะกินอิ่มมาแล้วหรือรสชาติของอาหารไม่ได้เรื่องเลยก็ตาม นอกจากนี้ไฟสลัวๆ ทำให้ผู้ที่รับประทานอาหารไม่ค่อยระวังตัว เพลิดเพลินเจริญอาหารไปเรื่อย

15. เสียงเพลงมีอิทธิพลต่ออารมณ์ของคนเรา ยิ่งดนตรีมีจังหวะเร็วเท่าไรก็ยิ่งกระตุ้นให้รับประทานอาหารมากขึ้นเท่านั้น

16. การดื่มน้ำ(เปล่า)เย็น 50 ออนซ์ (8 ออนซ์= 1 ถ้วย) จะช่วยเผาผลาญพลังงานเพิ่มขึ้นวันละ 50 แคลอรี เท่ากับช่วยให้น้ำหนักลดลงปีละ 5 ปอนด์หรือ 2.5 กิโลกรัม เพราะการดื่มน้ำเปล่าไม่ทำให้ร่างกายได้รับพลังงาน แต่ต้องใช้พลังงานในการเผาผลาญน้ำ ยิ่งไปกว่านั้นน้ำเย็นทำให้ร่างกายต้องใช้พลังงานเผาผลาญมากขึ้นอีก

17. การออกกำลังกายด้วยการยกน้ำหนักและพิลาทิส ควบคู่กันไปจะช่วยพัฒนาความแข็งแรงของปอดและหัวใจ รวมถึงความแข็งแรงและยืดหยุ่นของโครงสร้าง และการรับประทานอาหารมื้อย่อยๆ 5 มื้อต่อวัน โดยมื้อกลางวันจะเน้นอาหารประเภทโปรตีนเพียง 1 มื้อ นอกนั้นเน้นผักและผลไม้ จะทำให้มีพลังงานที่พอเหมาะในการใช้งาน และไม่ทิ้งไขมันส่วนเกินสะสม

18. ผู้ชายที่รับประทานมะเขือเทศ ซึ่งมีไลโคปีนสูงอย่างน้อยอาทิตย์ละ 10 ผลหรือมากกว่านั้น เสี่ยงเป็นมะเร็งต่อมลูกหมากน้อยลง 45 เปอร์เซ็นต์ วิธีง่ายๆ ให้นำมะเขือเทศไปปั่นให้ละเอียดเติมน้ำมันมะกอกและนำไปปรุงสุก ความร้อนจะช่วยให้มะเขือเทศปล่อยสารไลโคปีนออกมามากขึ้น

19. รับประทานแอ๊ปเปิ้ลหนึ่งชิ้นหลังอาหาร ช่วยเพิ่มปริมาณน้ำลาย ซึ่งเป็นส่วนสำคัญในการลดแบคทีเรียในช่องปากและช่วยให้เหงือกแข็งแรง การรับประทานสับปะรดและมะละกอก่อนอาหารประมาณ 2-3 ชิ้น ดีต่อกระเพาะอาหารเพราะมีเอนไซน์ซึ่งช่วยย่อย จึงเท่ากับช่วยให้กระเพาะย่อยอาหารมื้อหลักที่ตามลงมาได้ง่ายขึ้น

20. หากไม่อยากมีกรดในกระเพาะมากเกินไป ควรลดปริมาณการดื่มน้ำผลไม้เข้มข้น อย่างเช่นมะนาว ส้ม ส้มโอ เกรฟฟรุ๊ต หรือน้ำมะเขือเทศสดปั่น หรือทำให้เจือจางด้วยการผสมน้ำเข้าไป

21. สำหรับหนุ่มเจ้าสำราญ ที่ชอบปาร์ตี้หามรุ่งหามค่ำ ก็สามารถฟื้นฟูร่างกายได้ด้วยการนอนหลับให้นานหน่อย อีกวิธีหนึ่งในการดูแลตัวเองคือมีแฟนเด็ก จะได้มีแรงกระตุ้นให้เราทำตัวเด็กตาม ต้องดูดีตลอดเวลา เพราะฉะนั้นอบายมุข การเที่ยวกลางคืนก็เป็นอันต้องงด

22. การเล่นเกมคอมพิวเตอร์โดยเฉพาะเกมส์ที่ต้องใช้สมาธิ ช่วยให้ระบบประสาททำงานเชื่อมต่อกันอย่างมีประสิทธิภาพ ป้องกันโรคอัลเซเมอร์ได้ เกมอื่นๆ เช่น ปริศนาอักษรไขว้ หรือเลือกเรียนดนตรี ก็ช่วยได้เช่นกัน

23. การใช้พลาสติกใส่อาหารหรือปิดอาหาร รวมถึงใส่จานชามพลาสติกในไมโครเวฟ เพราะความร้อนจะทำให้พลาสติกปนเปื้อนในอาหาร เพิ่มความเสี่ยงในการเป็นมะเร็งเต้านม

24. ก่อนตั้งครรภ์ควรเตรียมตัวล่วงหน้าประมาณ 3 เดือน 1.ดูแลเรื่องอาหารการกิน เน้นโฟเลต แคลเซียม วิตามินต่างๆ ป้องกันอาการแพ้ท้องหรืออยากอาหารประหลาดๆ 2.ระวังเรื่องการรับประทานยาทุกชนิด อ่านฉลากให้ดี เพราะอาจทำร้ายลูกโดยไม่เจตนา 3.ทำใจให้สบาย คิดในแง่บวก 4. ออกกำลังกายที่เหมาะสม

25. ถ้ามื้อนั้นรับประทานเนื้อสัตว์ในปริมาณมาก ไม่ควรรับประทานผลไม้อีก เพราะกว่าเนื้อจะย่อยหมดต้องใช้เวลานาน ทำให้ผลไม้ที่ย่อยเสร็จไปเรียบร้อยแล้วถูกกักอยู่ในกระเพาะ เกิดกรดในกระเพาะอาหารได้

กรดไขมันในอาหารมีผลต่อระดับคอเลสเตอรอลในเส้นเลือด

กรดไขมันในอาหารมีผลต่อระดับคอเลสเตอรอลในเลือด มีการศึกษาวิจัยจำนวนมาก ในเรื่องผลของกรดไขมันในอาหาร ต่อระดับคอเลสเตอรอลในเลือด ปัจจุบันพบเป็นที่แน่ชัดแล้วว่า กรดไขมันอิ่มตัวในอาหาร จะเพิ่มระดับคอเลสเตอรอลรวมในเลือด และเพิ่มระดับ LDL cholesterol ซึ่งถือว่าเป็น bad cholesterol ในขณะที่การเพิ่มกรดไขมันไม่อิ่มตัวชนิด polyunsaturated fatty acids (PUFA) ในอาหาร สามารถลดระดับของคอเลสเตอรอลรวมในเลือด และยังลดระดับของ LDL cholesterol ได้อีกด้วย ความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับเรื่องของกรดไขมัน จึงเป็นประโยชน์ในการพิจารณาบริโภคอาหาร เพื่อลดความเสี่ยง และช่วยป้องกันโรคหลอดเลือดเลี้ยงหัวใจตีบตันได้เป็นอย่างดี

กรดไขมันเป็นการเรียงตัวของธาตุคาร์บ่อน โดยที่ปลายด้านหนึ่งเป็น methyl group อีกด้านหนึ่งเป็น carboxyl group ความยาวของคาร์บอนมีได้หลายตัว หากมีความยาวน้อยกว่า 6 เรียกว่า กรดไขมันสายสั้น หากมีคาร์บอนมากกว่า 12 เรียกว่ากรดไขมันสายยาว กรดไขมันเป็นสารอาหารสำคัญ ของกล้ามเนื้อหัวใจและอวัยวะภายในร่างกาย กรดไขมันส่วนที่เหลือใช้ จะถูกสะสมในรูปไตรกลีเซอไรด์ซึ่งจะสะสมเป็นไขมันในร่างกาย กรดไขมันอิ่มตัว หมายถึง กรดไขมันที่มีธาตุคาร์บอนต่อกันด้วยพันธะเดี่ยวเท่านั้น การรับประทานอาหารไขมันชนิดอิ่มตัว จะทำให้ไขมันในเลือดสูง และเป็นปัจจัยเสี่ยงของโรคหลอดเลือดตีบ แหล่งอาหารของไขมันอิ่มตัวได้แก่ น้ำมันปาล์ม กะทิ เนย นม เนื้อแดง ช้อกโกแลต

กรดไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยว เรียกว่า monounsaturated fatty acid (MUFA) เป็นกรดไขมันที่มีธาตุคาร์บอนต่อกันด้วยพันธะคู่เพียงหนึ่งตำแหน่ง การรับประทานอาหารไขมันประเภทนี้ ทดแทนไขมันอิ่มตัวจะช่วยลดระดับ LDL Cholesterol ซึ่งเป็นไขมันที่ไม่ดีก่อให้เกิดโรคหลอดเลือดตีบ อาหารที่มีกรดไขมันชนิด MUFA ได้แก่ อะโวคาโด ถั่ว น้ำมันมะกอก ส่วนกรดไขมันไม่อิ่มตัวเชิงซ้อน เรียกว่า polyunsaturated fatty acid (PUFA) หมายถึง กรดไขมันที่มีธาตุคาร์บอนต่อกันด้วยพันธะคู่อยู่หลายตำแหน่ง หากรับประทานแทนไขมันอิ่มตัว จะไม่เพิ่มระดับไขมันในร่างกาย อาหารที่มีไขมันชนิด PUFA ได้แก่ น้ำมันพืชทั้งหลาย เช่น น้ำมันข้าวโพด น้ำมันดอกทานตะวัน น้ำมันถั่วเหลือง

อาหารประเภทไขมันมีส่วนสำคัญ ที่ทำให้เกิดหลอดเลือดแข็ง ขาดความยืดหยุ่น อันจะนำไปสู่ภาวะหลอดเลือดหัวใจตีบตัน มีผลทำให้เกิดโรคกล้ามเนื้อหัวใจตาย อาหารการกินที่พึงระวัง และปฏิบัติตามมีดังต่อไปนี้ ประเภทอาหารเนื้อสัตว์ ควรรับประทานปลาทุกชนิด เนื้อสัตว์ที่ควรรับประทานแต่น้อย ได้แก่ เนื้อวัว ลิ้นวัว ไข่เป็ด ไข่ไก่ หรือเนื้อไก่ และชนิดที่ไม่ควรรับประทาน ได้แก่ หมูติดมัน ไส้กรอกแฮม ห่าน เป็ด ไก่ เครื่องใน เช่น สมอง และตับ

อาหารประเภทคาร์โบไฮเดรต ควรรับประทาน ข้าวสาร ข้าวโพด ข้าวเหนียว ก๋วยเตี๋ยว มักกะโรนี สปาเกตตี้ ขนมปัง อาหารประเภทคาร์โบไฮเดรต ที่อาจรับประทานแต่น้อย ได้แก่ บะหมี่ แคร็กเก้อร์ ข้าวโพดคั่ว ประเภทถั่วและนม ควรรับประทาน ถั่วเขียว ถั่วดำ เต้าหูขาว เต้าหูเหลือง ถั่วฝักยาว ถั่วพู ถั่วลันเตา นมถั่วเหลือง ลูกเดือย อาหารประเภทคาร์โบไฮเดรตที่ควรรับประทานแต่น้อย ได้แก่ ถั่วเหลือง ถั่วลิสงต้ม นมวัว และนมแพะ อาหารประเภทคาร์โบไฮเดรตที่ไม่ควรรับประทาน ได้แก่ ถั่วลิสงคั่ว และมะม่วงหิมพานต์ ส่วนอาหารประเภทไขมัน รับประทานแต่น้อย ได้แก่ น้ำมันพืช น้ำมันรา นมถั่วเหลือง ไม่ควรรับประทาน ได้แก่ น้ำมันหมู ไขมันสัตว์ น้ำกะทิ และเนยสด สำหรับพวกผักผลไม้ มีไขมันน้อยกว่าร้อยละหนึ่ง จึงรับประทานมากๆ ได้แต่ต้องระวังผลไม้ที่มีรสหวานจัด ส่วนวิธีการปรุงอาหาร สมควรที่จะเปลี่ยนเป็น อบ ย่าง หรือ นึ่ง เพื่อลดปริมาณของไขมันที่จะบริโภค

การรับประทานอาหารที่ถูกหลักโภชนาการ เป็นรากฐานสำคัญของการป้องกัน และรักษาภาวะคอเลสเตอรอลสูงในเลือด ดังนั้น ทุกท่านควรเข้าใจถึง แนวทางในการบริโภคอาหารที่ถูกต้อง เพื่อควบคุมระดับคอเลสเตอรอลในเลือด และต้องมีความตั้งใจจริงที่จะปฏิบัติให้ได้ในชีวิตประจำวัน เพื่อสุขภาพที่แข็งแรง หลีกเลี่ยงโรคร้ายต่างๆ ซึ่งมีภาวะคอเลสเตอรอลสูงเป็นปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญ เช่น โรคหลอดเลือดแดงแข็ง โรคหัวใจขาดเลือด หลักการบริโภคอาหารที่สำคัญ เพื่อป้องกัน และลดระดับคอเลสเตอรอลสูงในเลือด ประการแรกคือ รับประทานคอเลสเตอรอล ไม่เกินวันละ 300 มิลลิกรัม คอเลสเตอรอลมีเฉพาะในอาหารที่มาจากสัตว์เท่านั้น มีมากในอาหารบางชนิด เช่น ไข่แดง เครื่องในสัตว์ มันสัตว์ สัตว์น้ำบางชนิด จึงควรหลีกเลี่ยงรับประทานอาหารเหล่านี้ ในปริมาณมาก รับประทานอาหารในแต่ละวัน ซึ่งให้พลังงานรวมแล้วเพียงพอ ต่อการรักษาน้ำหนักตัวให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ โดยผู้ใหญ่ควรมีดัชนีความหนาของร่างกายประมาณ 20-25 กิโลกรัม/ตารางเมตร โดยคำนวณจากน้ำหนักตัว หน่วยเป็นกิโลกรัม หารด้วยส่วนสูงหน่วยเป็นเมตร ยกกำลังสอง

หลีกเลี่ยงรับประทานอาหารที่มีไขมันอิ่มตัวสูง เช่น กะทิ ไขมันจากสัตว์ หนังสัตว์ เนื้อสัตว์ที่มีมันติดมากๆ เช่น หมูสามชั้น เพราะกรดไขมันอิ่มตัวส่วนใหญ่ ทำให้ระดับคอเลสเตอรอลในเลือดสูงขึ้น การรับประทานอาหารที่ให้กรดไขมันไลโนเลอิก (linoleic acid) โดยสม่ำเสมอ ซึ่งพบได้ประมาณร้อยละ 50 ในน้ำมันพืชบางชนิด เช่น น้ำมันถั่วเหลือง น้ำมันข้าวโพด การรับประทานอาหารที่มีกรดไขมันไลโนเลอิกประมาณร้อยละ 7-10 ของพลังงานที่ได้รับ เช่น วันหนึ่งต้องการพลังงาน 2000 กิโลแคลอรี่ ควรได้กรดไลโนเลอิกประมาณ 16-22 กรัม ซึ่งได้จากน้ำมันถั่วเหลืองประมาณ 2-3 ช้อนโต๊ะ จะช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลในเลือดได้ เพราะมีการเปลี่ยนคอเลสเตอรอลที่ตับเพิ่มขึ้น



แหล่งข้อมูล : www.Bangkokhealth.com

วันศุกร์ที่ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2552

ทายซิว่าเนื้อคู่คุณมาจากทางไหน


10 พิรุธอาการของคนแอบคุยกิ๊ก






























มาสด้า2 เคาะราคาสุดๆ

มาสด้า 2 เคาะราคา 5.5 แสนบาท พร้อมเผยโฉม 6 พ.ย. นี้ตั้งเป้าขายรุ่นท็อป 70%มาสด้า เตรียมเปิดตัวมาสด้า 2 รุ่นเล็ก ตั้งราคาหายใจรดต้นคอฮอนด้า แจ๊ซ ประเดิม 4 รุ่นให้เลือกทั้งเกียร์ธรรมดาและอัตโนมัติ เริ่มต้นที่ 5.5 แสนบาท ต่างจากแจ๊ซหมื่นกว่าบาท พร้อมเผยโฉมทุกโชว์รูม 6 พ.ย. ศกนี้ เปิดจองได้ทุกโชว์รูมแล้วแหล่งข่าวจากบริษัทมาสด้า ประเทศไทยฯ เปิดเผย "ฐานเศรษฐกิจ" ว่า มาสด้าได้เตรียมเปิดตัวรถยนต์ขนาดเล็กรุ่นใหม่มาสด้า 2 ในตลาดประเทศไทย โดยขณะนี้ได้สรุปรายละเอียดการเปิดตัวเป็นที่เรียบร้อย เพื่อขออนุมัติจากบริษัทแม่ที่ประเทศญี่ปุ่นในเร็วๆนี้ทั้งนี้ราคาจำหน่ายของมาสด้า 2 นั้นเริ่มต้นที่ 5.5-5.7 แสนบาท ในรุ่นเกียร์ธรรมดา รุ่น S MT ตามด้วยรุ่น S AT นั้นราคาเพิ่มขึ้นเป็น 5.87-6.07 แสนบาท ส่วน 2 รุ่นท็อปนั้นราคา 6.40-6.60 แสนบาทในรุ่น V AT และ 6.95-7.15 แสนบาทในรุ่นท็อปสุด R AT ที่มาพร้อมกับอุปกรณ์ตกแต่งรวมทั้งถุงลมนิรภัยคู่หน้า ล้ออัลลอยขนาด 16 นิ้ว กุญแจรีโมต จอแสดงอัตราการบริโภคน้ำมัน เครื่องเล่นซีดี 6 แผ่น และปุ่มควบคุมเครื่องเสียงที่พวงมาลัย" ตอนนี้ได้เปิดรับจองจากลูกค้าแล้ว โดยราคาจำหน่ายของมาสด้า 2 เมื่อเปรียบเทียบกับรถในเซ็กเมนต์เดียวกัน อย่างฮอนด้า แจ๊ซที่เป็นเจ้าตลาดนั้นจะเห็นว่าราคาไม่แตกต่างกันมาก โดยมาสด้า 2 จะถูกกว่าเล็กน้อย และได้เปรียบในเรื่องความสดใหม่และหน้าตาที่โฉบเฉี่ยว ทั้งนี้มาสด้าจะเน้นการทำ ตลาดในรุ่นท็อป 2 รุ่น เป็นหลักถึง 70% ของยอดขายทั้งหมด"แหล่งข่าวกล่าวและว่าสำหรับแผนการเปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่ขนาดเล็กของมาสด้านั้น ได้ถูกกำหนดขึ้นแล้ว แต่ยังไม่มีการเปิดตัว แต่กำหนดการนำรถมาโชว์ตามโชว์รูมทั่วประเทศนั้น คาดว่ามาสด้า ประเทศไทยพร้อมที่จะส่งรถให้ดีลเลอร์ทั่วประเทศราว 6 พ.ย. ศกนี้ ซึ่งเป็นช่วงของฤดูการขาย คาดว่าจะช่วยกระตุ้นยอดขายของมาสด้าให้กระเตื้องขึ้นอย่างมากในช่วงปลายปีนี้อย่างไรก็ตามรถรุ่นที่จะนำมาเปิดตัวนี้จะเป็นแบบ 5 ประตูเพียงอย่างเดียว ส่วนแบบที่เป็น 4 ประตูนั้น ยังไม่มีกำหนดการที่เปิดตัว แต่คาดว่าพร้อมที่จะเผยโฉมและจำหน่ายในประเทศไทยได้ภายในปี 2553แหล่งข่าวกล่าวต่อไปว่า สำหรับมาสด้า 2 นี้ ได้ติดตั้งเครื่องยนต์รุ่น 1.5 ลิตร จะมีระบบ Variable Induction System ติดตั้งเพิ่มเติมเพื่อกำลังที่ต่อเนื่องทุกช่วงรอบการทำงาน โดยมีกำลัง 103 แรงม้า แรงบิด 13.9 กก.-ม.สำหรับยอดจำหน่ายรวม รถมาสด้าประจำเดือน กรกฎาคม 2552 ที่ผ่านมานั้นพบว่ายอดขายได้ กลับมาเป็นบวกครั้งแรกในรอบ 15 เดือน ด้วยยอดการจำหน่ายรวมทั้งสิ้น 816 คัน เติบโตเพิ่มเกือบ 15 % ตัวเลขดังกล่าวมาจากกลุ่มรถกระบะ มาสด้า บีที- 50 เป็นหลัก ด้วยยอดขาย 442 คัน ส่วนเก๋งมาสด้า 3 ทำตัวเลขแตะ 367 คันอ นึ่ง มาสด้า 2 นี้ประกอบขึ้นจากโรงงานออโต้อัลลายแอนซ์ประเทศไทย ที่จังหวัดระยอง ซึ่งรุ่นที่จะเปิดตัวนี้เป็นแบบ 5 ประตู ส่วนแบบ 4 ประตูนั้นยังไม่มีกำหนดการที่แน่นอน และสำหรับโรงงานออโต้อัลลายแอนซ์ นี้ เป็นโรงงานร่วมทุนระหว่างฟอร์ดและมาสด้า ซึ่งในส่วนของฟอร์ดนั้นก็มีแผนการประกอบรถฟอร์ด เฟียสต้า เพื่อจำหน่ายในประเทศไทยในช่วงต้นปี 2553 โดยรถทั้งสองรุ่นนี้จะผลิตเพื่อป้อนตลาดต่างประเทศด้วย ทั้งในภูมิภาคอาเซียนออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ และแอฟริกาใต้


































จริต 6 ศาสตร์ในการอ่านใจคน

จริต ๖ ศาสตร์ในการอ่านใจคน (ศรัทธาจริต)
1.ศรัทธาจริต…เชื่อมั่นว่าตัวเองมีหลักการอุดมการณ์ คิดว่าตนเองเป็นคนดีน่าศรัทธาประเสริฐมากกว่าพุทธิ เพราะคิดอย่างมีหลักการและพูดอย่างมีหลักการตลอด แต่คนที่มีศรัทธาจริตพระพุทธเจ้ากล่าวว่า เป็นคนมีปัญญาต่ำ เพราะมีความเชื่ออย่างรุนแรงว่าจะเป็นอย่างนั้น และจะไม่ยอมรับความคิดของคนอื่น หากคนอื่นมีความคิดแตกต่างจากเราก็ไม่ยอมรับ ไม่ได้พิจารณาเหตุผล ไม่พิจารณา ต้องคิดถึงหลักกาลามสูตร อย่าเชือเพราะตามกันมา อย่าเชื่อเพราะเป็นศาสดา อย่าเชื่อเพราะเป็นครูบาอาจารย์ อย่าเชื่อเพราะเห็นว่ามีเหตุมีผลสอดคล้องกับความคิดของเรา โดยธรรมชาติเวลาเราสั่งสอนคนก็อยากให้คนอื่นเชื่อ คนพูดก็ให้รับฟังก่อน แต่หลังจากนั้น ให้ดูเหตุดูผล ตามสติปัญญาอำนวย พิจารณาให้เต็มที่ ถ้าเชื่อคนก็ไม่ใช่พุทธศาสนิกชนไม่รู้จักประนีประนอม ความจริงมีอยู่หนึ่งเดียว คนไม่เห็นด้วยเป็นฝ่ายผิด ทำให้คนมีศรัทธาไม่มีเมตรา เพราะคนมีความคิดไม่ตรงกันเราเป็นคนเลว ศรัทธาแรงๆ จะแยกแยะขาวดำ ไม่มีสีเทา คนคิดไม่เหมือนกันจะเอาเป็นเอาตายมักจะทำกิจการโดยไม่คิดถึงผลที่จะตามมา จะต่อต้านการทำแท้งโดยใช้ระเบิดบอมม์มีจุดบวก ถ้ามีพุทธิด้วยจะเป็นพลังที่แรง แต่ถ้าไม่มีก็เหมือนมีเครื่องแรง แต่อาจวิ่งไปในทางผิดได้
หากมีเจ้านายเป็นศรัทธาจริตมีกฏมระเบียบมากมาย เช่นต้องมาตรงเวลา แต่ตอนเย็นอาจอยู่ช่วย เอารัดเอาเปรียบพร้อมลงโทษด้วยความรวดเร็ว โดยไม่มีการเตือนล่วงหน้า ไม่มีความเมตตา
ถ้าลูกน้องเป็นศรัทธาจริตเป็นบุญ เพราะตั้งใจทำงาน อยากเป็นคนดี อยากเป็นลูกน้องที่ดี มีคาวมเคารพเจ้านาย แต่อาจไม่ยอมรับคำตำหนิเพราะคิดว่าตัวเองดี และการที่คิดว่าตัวเองดีจึงชอบตัดสินคนรองข้างและวิพากวิจารณ์ หากคิดไม่เหมือนก็มองว่าเป็นคนเลวขอบคุณ: www.drboonchai.com

จริต ๖ ศาสตร์ในการอ่านใจคน (พุทธิจริต)
2.พุทธิจริตจะเรียนรู้เร็ว พูดอะไรเป็นเหตุเป็นผล ตัวกูของกูไม่สูงต่ำกว่าวิตก พร้อมจะรับความคิดเห็นเพื่อพัฒนาตัวเองให้ดีขึ้นสูงขึ้น จึงยอมรับความคิดใหม่ซึ่งมีเหตุผล จิตปักอยู่ในเหตุผลจึงตรงประเด็น ไม่เอาเปรียบ มีความเมตราท่วมจิต เพราะคิดตามความเป็นจริง และไม่คิดในทางลบ ต้องการพัฒนาขัดเกลาจิตใจ ตลอดเวลา จึงเห็นปัญหาและทางแก้ เมื่อเห็นผู้อื่นจึงเกิดความเมตราไปด้วย ในคนพูดเต็มไปด้วยสติและปัญญา แตกต่างวิตกที่พูดแยะทำแยะแต่ผิดๆถูก เป็นคนที่เชื่อถือได้หน้าตาผ่องใส แตกต่างกับวิตกเพราะฟุ้งซ่านจึงเหี่ยวย่นเหนื่อยอเน็จอนารถ พุทธิจึงหน้าไม่ทุกข์มีสมาธิเข็มแข็ง มองโลกตามความเป็นจริง มีพลังซึ่งแตกต่างจากโมหะซึ่งไม่เบิกบาน เศร้า ถึงเวลาพูดก็ไม่พูด ไม่มีพลังตา สว่างไสว รู้ โทสะ ตาแข็งโปน เป็นประกายแห่งความเหี้ยมดุ โมหะ ตาเยิ้มแต่เศร้า ราคะจะเปล่งปลั่ง วิตกตาจะหลอก แหลกจะรู้จักสังเกตุสิ่งต่างๆที่เปลี่ยนแปลงไป เช่นสีหน้า เพื่อที่จะปรับความคิด การพูด การกระทำของตัวเอง หาได้ลำบากในสังคมเป็นกัลยาณมิตร ต้องการให้คนอื่นก้าวหน้า คบคนประเภทก็เป็นคนประเภทนั้น ควรคบคนที่สูงกว่าดีกว่าเรา ถ้าเลือกได้ แต่การให้ความช่วยเหลือต้องให้กับทุกคน การให้ความช่วยเหลือต้องทำโดยไม่ให้ตัวเองเดือนร้อน หากเรามีกำลังจิตไม่พอจะถูกครอบหงำโดยคนรอบข้างน้อยคนที่จะเป็นเพราะต้องมีเหตุผล ต้องมีพลังศรัทธาตามด้วย ความอยากที่จะรู้ จิตใจเป็นอย่างไรถ้านายเป็นควรทำงานด้วย เพราะชอบแนะนำชอบสอน ไม่ได้ตำหนิ เปิดให้ก้าวหน้าพัฒนา และพึ่งพาได้ และสามารถช่วยเหลือได้ เพราะเป็นคนมีธรรม [...]

จริต ๖ ศาสตร์ในการอ่านใจคน (วิตกจริต)
3.วิตกจริต…ลักษณะพื้นฐานคือ พูดไม่หยุด ประเภทน้ำไหลไฟดับ ชอบแสดงความคิดเห็น มีคำถามเยอะแยะไปหมด เพราะได้ยินเสียงพูดตลอดเวลา สมองเต็มไปด้วยความคิด ฟุ้งซาน สับสนวุ่นวาย มีหลายความคิดซ้อนกันอยู่ แต่มักสรุปประเด็นสำคัญหรือจัดระบบไม่ได้ อย่างไรก็ตาม คนทั่วไปมักมองว่า คนที่วิตกจริตมีปัญญาสูงเพราะเป็นคนที่สามารถคิดได้เร็ว พูดได้มาก ประเด็นเต็มไปหมด ฟังเผินๆ แล้วน่าประทับใจถ้าไม่คิดอะไรมากวิตกไม่สามารถหยุดความคิดของตัวเองได้ และไม่สามารถเลือกว่าจะคิดอะไรได้ การคิดมักจะย้ำคิดในทางลบ มองโลกในแง่ร้าย มักคิดว่าโลกชั่วร้าย คนอื่นจะพยายามเอารัดเอาเปรียบตัวเอง ไม่สามารถเชื่อใจใครได้ มักคิดในทางลบ เช่น การคิดอิจฉา คิดเรื่องต่างๆ ในแง่ไม่ดี และความคิดดังกล่าวจะผุดขึ้นมาอย่างควบคุมไม่ได้ เป็นการย้ำคิดในทางลบ คนที่เป็นจริตอื่นๆ อาจไม่เข้าใจว่าคิดไปทำไม แต่ผู้เป็นวิตกจริตไม่อาจปิดความคิด เหมือนอยู่ในน้ำทะเลโดนคลื่นกระชากไปเรื่อยหน้าตาปกติจะบึ้ง ยิ้มไม่ออก ไม่มีความรู้สึก แต่มีอารมณ์รุนแรง คำพูดจะรุนแรง เพราะอยู่ในความคิด เช่นเวลาวิจารณ์คนมักใช้คำพูดรุนแรงทำให้คนชอกช้ำเกิดกรรมเวร คนทั่วไปมักไม่ค่อยชอบหน้า และมักถูกทำร้ายทางกายวาจาและใจ เป็นการย้ำการมองว่าโลกชั่วร้ายมากยิ่งขึ้น และจะเป็นคนร้อนรุม แต่ในอีกด้านหนึ่งการพูดมาก คิดมาก ใช้พลังงานทำให้ดูเหนื่อยโทรมคนที่เป็นวิตกจริตจะมีปากกับใจไม่ตรงกัน เวลาพูดนัยน์ตาจะกรอกไปกรอกมา พูดอย่างคิดอย่าง และยังไม่ค่อยชอบรักษาสัญญา เพราะมีความคิดแยะผุดขึ้นมาตลอด คิดกลับไปกลับมา ประกอบกับมีอัตตาสูง มักกลัวเสียเปรียบ [...]

จริต ๖ ศาสตร์ในการอ่านใจคน (ราคะจริต)
4.ราคะจริต…คนที่มีลักษณะราคะจริตจะเป็นผู้ที่ชอบรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส เป็นคนจิตประณีตละเอียดอ่อน จิตจะเกาะอยู่ในสัมผัสทั้งห้าอยู่ตลอดเวลาเป็นคนที่ชอบในเรื่องของรูป ลักษณ์ จะเป็นคนแต่งตัวเก่งออกมาดูสวยงาม ดูเก๋และเท่ น่าชวนมองชวนดู เป็นคนยิ้มแย้มแจ่มใส มีบุคลิกดี มีมาด เพราะมีสติค่อนข้างสูง จึงสามารถควบคุมอิริยาบถของร่างกายตัวเองได้ค่อนข้างถ้วน อย่างเช่น ถ้ายืนอยู่ ก็จะรู้ว่าจะต้องวางตำแหน่งเท้าเช่นไร ตำแหน่งมือจะสูงต่ำมากน้อยแค่ไหน หลังต้องเหยียดตรง จะยิ้มประมาณไหนถึงจะออกมาดูดี จะออกมาดูน่ารัก และดูมีมาดในทางกลับกัน ก็จะชอบคนที่มีบุคลิกดีเป็นสิ่งสำคัญ ชอบความสวยงามของสิ่งของ และสถานที่ จะชอบไปสถานที่ที่สวยงามและหรูหรา ส่วนจะมีสาระหรือประเทืองปัญญาหรือไม่ไม่ใช่เรื่องสำคัญ พยายามหลีกเลี่ยงความสกปรกความไม่สวยงามของรูปลักษณ์ไม่ว่าจะเป็นคนหรือสถาน ที่แต่คนกลุ่มนี้มักสติหลุดควบคุมจิตใจไม่ค่อยได้มากกว่าจริตอื่นๆ หากไปเจอเพศตรงข้ามที่มีรูปลักษณ์ดี จะมีอาการยิ้มหวาน ตาเยิ้ม หรือไม่ก็มีจริตจะก้านต่างๆ อย่างเห็นได้ชัดเวลาพูดก็จะสามารถควบคุมน้ำ เสียงให้ออกมาไพเราะนุ่มนวล ที่สำคัญคือ คำพูดที่ออกมาจะเต็มไปด้วยมธุรสพจนา มีคำหวานหูเต็มไปไปหมด ระมัดระวังคำพูดมาก จะหลีกเลี่ยงคำพูดที่จะทำร้ายความรู้สึกคน สามารถพูดออกมาได้หวานแต่ใจอาจคิดอีกอย่างได้เป็นนิสัย ในขณะเดียวกันชอบคำพูดหวานหูเช่นเดียวกัน ชอบคำพูดเอาอกเอาใจ จะจริงใจหรือไม่ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง ขอให้ได้ยินคำหวานเอาไว้ก่อน สิ่งที่คนในจริตนี้ทนไม่ได้คือ คำพูดเสียงดัง ตะคอก หยาบ ซึ่งได้ยินแล้วหัวใจเสมือนจะแตกสลาย พร้อมจะสู้ตายเป็นคนชอบแสวงหา ของอร่อยทาน ไม่ว่าจะอยู่ไกลแสนไกลแค่ไหนก็จะต้องไปแสวงหามาทาน [...]

จริต ๖ ศาสตร์ในการอ่านใจคน (โมหะจริต)
5.โมหะจริตคนที่มีลักษณะโมหะจริตจะเป็นคนที่ง่วง ๆ ซึมๆ ประเภทง่วงเหงางาวนอนเป็นอาจิณ อ่านหนังสือหรือฟังบรรยายประเดี๋ยวเดียวก็ตาปรอยหรือหลับไปเลย เป็นคนซึมๆ งงๆ ไม่รู้จะทำอะไร ปกติจะไม่ชอบทำอะไรถ้าไม่มีใครหรือสถานการณ์มาบังคับ ชอบนั่งเฉยๆอารมณ์พื้นฐานคือความเบื่อและความเซ็ง ทำอะไรรู้สึกว่ายากไปหมด รู้สึกเกินความสามารถ แต่ตัวเองก็มักใช้ความพยายามน้อย เพราะมีสมาธิค่อนข้างต่ำ พลังเลยไม่ค่อยมี ทำอะไรจะรู้สึกว่าเบื่อก่อนที่งานนั้นจะเสร็จ และลึกๆ จะมีความเศร้าอยู่ในใจ เพราะมักคิดถึงตัวเองในทางไม่ดีอยู่เสมอ มักจะคิดว่าตัวไม่มีคุณค่า น้อยเนื้อต่ำใจ รู้สึกตัวเองต่ำต้อย ไร้ความสามารถ ไร้วาสนา เป็นคนที่น่าสงสารตรงที่ได้วางโปรแกรมที่ทำลายตัวเองไว้ในความคิดตั้งแต่ต้นคนที่เป็นโมหะจริตมักจะมองเข้าข้างใน ไม่ค่อยมองออกข้างนอก คือ ถ้าจะคิด มักจะนึกคิดเฉพาะเรื่องของตัวเอง กลุ้มใจกับเรื่องของตัวเอง เสียใจกับปัญหาของตัวเอง จนแทบไม่ได้คิดว่าคนอื่นเขามีปัญหาอะไรบ้าง จะช่วยเขาได้อย่างไร การที่หมกหมุ่นกับเฉพาะเรื่องตัวเองทำให้คนที่เป็นโมหะจริตดูเหมือนจะมีจิตใจค่อนข้างคับแคบ และไม่ค่อยสนใจโลก ไม่สนใจคนอื่นๆ มากนัก การที่สนใจเฉพาะปัญหาตัวเองทำให้ไม่ได้มีเป้าหมายชีวิตอะไรที่สูงส่งมากนัก ไม่ได้มีเป้าหมายเพื่อเปลี่ยนแปลงหรือปรับปรุงอะไรเพื่อผู้อื่นผู้สังคม ทำให้แรงขับเคลื่อนพลอยต่ำลงไปด้วยแต่เป็นคนดี ไม่เป็นพิษเป็นภัยต่อสังคม เพราะไม่คิดอิจฉาริษยาใคร ไม่คิดทำร้ายใคร ไม่คิดจะทำให้ใครเดือนร้อน ที่จริงแล้วไม่อยากไปยุ่งเกี่ยวกับใคร หรือเปลี่ยนแปลงใครอยู่แล้วด้วยซ้ำ และตัวเองมักจะคิดว่าตัวเองเป็นคนดี แต่ก็ไม่เข้าใจว่า การที่เป็นคนดีจึงไม่ก้าวหน้าหรือประสบความสำเร็จ ทำให้รู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจ รู้สึกไร้โชคไร้วาสนาอยู่ในใจลึกๆเป็นคนที่อยู่ในสมองด้านขวา ชอบสบายๆ ไม่ชอบคิดอะไรอย่างเป็นระบบ ละเอียด ซับซ้อน [...]

จริต ๖ ศาสตร์ในการอ่านใจคน (โทสะจริต)
และ 6.โทสะจริตหากเราเป็นโทสะจริตคนที่อยู่กลุ่มโทสะจริต หรือมีสภาวะอารมณ์เป็นอารมณ์โกรธ คนที่อยู่ในกลุ่มนี้โดยธรรมชาติแล้วเป็นบุคคลผู้มีหลักการของตนเองในการทำงานและในการกระทำต่างๆ และมักเป็นผู้เคารพกฎเกณฑ์และมีวินัยสูงกว่าจริตอื่นๆ และการที่ตัวเองมีหลักเกณฑ์ ระเบียบวินัยค่อนข้างสูง จึงทำให้ทนไม่ได้เมื่อมาเจอผู้ที่ไม่มีระเบียบวินัย ไม่มีเคารพหลักเกณฑ์ นอกจากนี้จะเป็นคนที่รักษาคำพูดรักษาเวลา จึงทำให้ทนไม่ได้มาเมื่อกับคนที่ไม่รักษาคำพูดไม่รักษาเวลากลุ่มโทสะจริตมักคาดหวังว่าโลกจะเป็นอย่างที่ตัวเอง และจากการที่ตัวเองมักจะมีระเบียบวินัยสูงกว่าคนปกติ ก็มักจะคิดว่าโลกควรจะเปลี่ยนไปเหมือนตัวเอง แต่เมื่อพบว่าโลกไม่ได้เป็นอย่างนั้น และไม่สามารถเปลี่ยนโลกได้ ก็เกิดความขุ่นเคืองลึกๆ อยู่ในใจอยู่เสมอ และพร้อมจะระเบิดออกมาได้เมื่อเจอกับผู้ที่ไม่มีความเป็นระเบียบวินัย หรือความไม่ถูกต้องการที่ยึดมั่นในหลักการและกฏเกณฑ์ต่างมากกว่าคนอื่นๆ ทำให้เป็นคนตรงไปตรงมา ทำให้บุคคลที่เป็นโทสะจริงมีสมาธิแรงมาก แต่ในทางกลับคนที่มีพื้นฐานจิตเป็นโทสะจริตมักมีสติค่อนข้างอ่อน เพราะไม่ได้ดูโลกตามความเป็นจริง ไม่ได้ดูว่าคนอื่นเขาคิดอย่างไร แตกต่างกันเราอย่างไร อันที่จริงแล้วคนกลุ่มก็แทบไม่สนใจดูคนอื่นหรือดูโลกเท่าไรเลย เพราะคิดว่าโลกหรือทุกคนควรจะเปลี่ยนตัวเองไปตามหลักการหลักเกณฑ์ที่ถูกต้อง นั้นคือ ทุกคนควรมีวินัย ควรตรงต่อเวลา ควรเคารพกฏเกณฑ์ โลกของกลุ่มโทสะจริตเป็นโลกที่ควรจะเป็น ไม่ใช่เป็นโลกที่เป็นอยู่จริง คนที่ไม่สามารถทำได้จะถูกดูว่าไม่มีความสามารถ [...]

…หนังสือเล่มนี้เป็นหนังสือที่แต่งได้ดีมาก ผู้แต่งสามารถบรรยายหลักธรรมออกมาได้อย่างชัดเจนและเรียบง่ายบนพื้นฐานของการใช้ชีวิตในโลกยุคปัจจุบัน หนังสือเล่มนี้ถือได้ว่าเป็นอมตะ Best Seller เพราะปัจจุบันพิมพ์ครั้งที่ 20 กว่าแล้ว (ตอนที่ผมอ่านพิมพ์ครั้งที่ 20 พอดี) เป็นหนังสือดีที่ควรค่าแ่ก่การซื้อหามาอ่านครับ…บทความนี้ผมนำมาจากบทคัดย่อที่เผยแพร่ผ่านทางเว็ปไซท์ของผู้แต่ง 1ใน 2 ท่านที่แต่งหนังสือเล่มนี้คือ ดร.บุญชัย โกศลธนากุล จากเว็ปไซท์ www.drboonchai.com

สถานที่ท่องเที่ยวน่าสนใจของดูไบ

สถานที่ท่องเที่ยวน่าสนใจของดูไบ


ดูไบเป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดของประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ตั้งอยู่ทางภาคเหนือของประเทศมีพื้นที่ประมาณ 3,225 ตารางกิโลเมตร และมีประชากรประมาณ 1,674,527 คน ดูไบถือเป็นเมืองแห่งความมหัศจรรย์ เพราะที่ถูกผันแปรจากดินแดนทะเลทรายมาสู่ความมั่งคั่งในการค้า บริการ การพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ และศูนย์กลางธุรกิจ ไม่จำกัดเฉพาะการค้าน้ำมันแบบก่อนๆ


สถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจ ประเทศดูไบ
หมู่เกาะต้นปาล์ม หมู่เกาะต้นปาล์ม เป็นโครงการก่อสร้างเกาะจำลองบริเวณอ่าวเปอร์เซีย ในดูไบ ในสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ โดยแต่ละเกาะจะมีลักษณะรูปร่างเหมือนต้นปาล์ม และล้อมรอบด้วยเสี้ยววงกลม โดยพื้นที่จะมีการจัดเป็นที่อยู่อาศัย และรีสอร์ท การพัฒนานี้เป็นส่วนหนึ่งในโครงการพัฒนาการท่องเที่ยวของประเทศ ในโครงการจะมีการสร้างทั้งหมด 3 เกาะได้แก่ ปาล์ม Jumeirah, ปาล์ม Deira และ ปาล์ม Jebel Ali
อาคารเบิร์จดูไบ เบิร์จดูไบ (ภาษาอาหรับ: برج دبي , Burj Dubai – หอคอยดูไบ) เป็นตึกระฟ้าสูงยวดยิ่ง ที่อยู่ในระหว่างการก่อสร้างในย่านกลางเมืองดูไบ และเมื่อก่อสร้างแล้วเสร็จก็จะถูกจัดเป็นอาคารระฟ้าที่สูงที่สุดในโลก กำหนดให้เข้าใช้งานได้ในต้นปี พ.ศ. 2552 ณ โดยจะสร้างให้มีความสูงประมาณ 818 เมตร ในดูไบยังมีโครงการก่อสร้างตึกในชื่อว่า อัลเบิร์จ ที่กำลังอยู่ในระหว่างการออกแบบและวางแผน โดยความสูงยังคงถูกเก็บเป็นความลับเช่นกัน โดยประมาณการว่าอาจจะสูงอย่างน้อย 800 เมตร การตกแต่งภายในจะบ่างออกเป็นโรงแรมอาร์มานี 37 ชั้นล่าง โดยชั้น 45 ถึง 108 จะเป็น อพาร์ตเมนต์ โดยที่เหลือจะเป็นออฟฟิศสำนักงาน และชั้นที่ 123 และ 124 จะเป็นจุดชมวิวของตึก ส่วนบนของตึกจะเป็นเสาอากาศสื่อสาร นอกจากนี้ชั้น 78 จะมีสระว่ายน้ำกลางแจ้งขนาดใหญ่ และตึกนี้จะติดตั้งลิฟต์ที่เร็วที่สุดในโลก ที่ความเร็ว 18 ม/วินาที (65 กิโลเมตร/ชั่วโมง, 40 ไมล์/ชั่วโมง)
เบิร์จอัลอาหรับ เบิร์จอัลอาหรับ (ภาษาอาหรับ: برج العرب , Burj al-Arab) เป็นโรงแรมหรูหราและเป็นโรงแรมที่สูงที่สุดในโลก โดยมีความสูง 321 เมตร (1,053 ฟุต) โดยตั้งอยู่บริเวณชายฝั่งทะเลบริเวณอ่าวเปอร์เซีย โดยเชื่อมต่อกับฝั่งผ่านทางสะพาน เบิร์จอัลอาหรับเป็นเจ้าของโดย จูเมราฮ์ การก่อสร้างเริ่มต้นในปี พ.ศ. 2537 แล้วเสร็จและเริ่มเปิดใช้งานครั้งแรกเมื่อ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2542 โดยตัวตึกออกแบบมีลักษณะคล้ายเรือใบ dhow ซึ่งเป็นยานพาหนะชนิดหนึ่งของชาวอาหรับ
ส่วนห้องในโรงแรมเบิร์จอัลอาหรับมีลักษณะเป็นห้องสวีตคู่ 202 ห้อง โดยห้องที่เล็กสุดมีขนาด 169 ตารางเมตร (1,819 ตารางฟุต) และห้องใหญ่สุดมีขนาด 780 ตารางเมตร (8,396 ตารางฟุต) และได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในโรงแรมที่แพงที่สุดในโลก โดยราคาค่าที่พักอยู่เริ่มต้นที่ $1,000 -$15,000 ต่อคืน และห้องที่แพงสุดจะอยู่ที่ราคา $28,000 ต่อคืน




ถนน Al Fahidi
ตั้งอยู่ใจกลางซุก Bur Dubai เป็นศูนย์กลางร้านค้าเครื่องใช้ไฟฟ้าชั้นนำ โฮมเธียร์เตอร์ รวมไปถึงอุปกรณ์ถ่ายรูป ซึ่งเสนอขายในราคาย่อมเยาว์

Al Nasr Leisureand
ตั้งอยู่บริเวณ Bur Dubai ห่างจากถนน Zabeel เป็นสวนสาธารณะที่ทันสมัยแห่งหนึ่ง ผุ้ชื่อชอบการเล่นกีฬาจะต้องถูกใจเป็นพิเศษ เพราะสวน Zabeel นี้ มีทั้งลู่สำหรับโยนโบล์ลิ่ง พื้นน้ำแข็งราบสำหรับเล่นสเก๊ต และสระว่ายน้ำ รวมไปถึงสวนสนุกสำหรับเด็ก เปิดทุกวัน เวลา 09.00-22.00 น.

Bait Al Wakeel
สร้างขึ้นในปี 1934 โดยท่านชีคราชิด ซึ่งเป็นผู้ครองรัฐองค์ที่แล้ว ถือว่าเป็นตึกทางการแห่งแรกของดูไบโดยในปัจจุบันได้ทำเป็นพิพิธภัณฑ์จัดแสดงความเป็นมา และวิถีชีวิตของชาวประมง

Bani Yas Square
สิ่งที่เห็นได้ชัดในบริเวณ Bani Yas Square คือ หอ Deira ที่มีลักษณะยอดบนเป็นวงกลม บริเวณจัตุรัสจะมีสินค้าประเภทเครื่องใช้ไฟฟ้า เครื่องนุ่งหุ่ม และ สินค้าบริโภคทั้งหลายให้คุณต่อรองราคากันได้

พิพิธภัณฑ์ดูไบ
ด้านในของพิพิธภัณฑ์แบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือ ส่วนที่เป็นด้านบนและด้านล่าง ด้านบนจะเป็นแบบจำลองกำแพงหินและกระท่อมแบบชาวพื้นเมืองเก่าๆ สำหรับด้านล่างหรือชั้นใต้ดินจะกว้างใหญ่และลึกลับซับซ้อนมาก มีทั้งภาพวาดสีน้ำของดูไบในอดีต การจัดหุ่นนิ่งแสดงวิถีชีวิตของคนพื้นเมือง มีการจำลองบรรยากาศใต้ทะเลโดยใช้แสงสีจำลอง ทำให้เห็นภาพของชาวดูไบในอดีต นอกจากนี้ ยังมีห้องแสดงความก้าวหน้าทางวิทยาการโบราณแบ่งซอยออกไปอีก โดยจัดแสดงพัฒนาการของตัวเลขและตัวอักษรอาระบิก รวมไปถึงการเรียนรู้วิชาดาราศาสตร์และเรื่องราวของทะเลทราย

Bastakiya
ย่าน Bastakiya เป็นย่านที่เรียกได้ว่าเป็นย่านเมืองเก่าถือได้ว่าเป็นศูนย์กลางของวัฒนธรรม และ แกลอรี่ศิลปะ ของที่นี่เลยทีเดียว บริเวณดังกล่าวนี้เป็นเพียงทางแคบๆ โดยมีหอกังหันลมตั้งตระหง่านเป็นฉากหลัง ทำให้นึกย้อนไปในอดีตที่บริเวณ Bastakiya นี้มักจะเต็มไปด้วยหอกังหันลม ตั้งเรียงรายอยู่บริเวณที่เรียกว่า The Creek ซึ่งหอกังหันลมเหล่านี้ไม่เพียงแต่ช่วยประดับประดาตกแต่งย่าน Bastakiya ให้สวยงามน่าชมแล้ว ยังช่วยให้บรรเทาความร้อนให้กับบ้านเรือนที่ตั้งอยู่แถวนั้น ก่อนที่จะมีไฟฟ้าใช้อีกด้วย

สวนสัตว์ดูไบ
ถึงแม้ว่าสวนสัตว์ของดูไบ ที่ตั้งอยู่บนถนน Jumeirah Beach จะเล็กไปบ้าง แต่เชื่อได้ว่าคุณต้องรู้สึกทึ่ง กับบรรดา สัตว์หลากหลายชนิดอาศัยที่อยู่ในนี้ เพราะนอกจาก คุณจะได้เพลิดเพลินไปกับนกนานาประเภทแล้วคุณยังต้องรู้สึกตื่นเต้นไปกับสัตว์น้อยใหญ่ รวมไปถึงสัตว์ที่มาจากต่างประเทศด้วย

Shiekh Zayed Road
เทียบได้กับย่านดาวน์ทาวน์ของเมืองแมนฮัตตัน เป็นเขตการค้าของเมือง ล้อมรอบไปด้วยตึกสูงระฟ้า เป็นสถานที่ตั้งของตึก World Trade Centre และ โรงแรม Emirates Tower
The Creek
เป็นจุดชมทิวทัศน์ มีลักษณะเป็นท่าเรือที่ตัดผ่านใจกลางเมือง ซึ่งเป็นศูนย์รวมประวัติศาสตร์และเป็นย่านชุมชนใน ดูไบ The Creek เป็นสถานที่ที่เหมาะสำหรับการเดินเล่นชมวิวทิศทัศน์ ยิ่งผู้ที่สนใจวัฒนธรรมและประเพณีของผู้คนชาติต่างๆ จะต้องรู้สึกชื่นชมและประทับใจกับภาพทั้งสองฟากฝั่ง โดยเฉพาะภาพที่นกนางนวลหลายร้อยตัวบินโฉบฉวัดเฉวียนผ่านเรือสัญจร หรือที่เรียกว่า เรือเดา (dhow) มีลักษณะเป็นเรือใบเสาเดียวทีชาวอาหรับใช้เป็นพาหนะที่แล่นผ่านไปมา มีพระอาทิตย์ดวงกลมโตที่ค่อยๆ ลดแสงลง เป็นฉากหลังคุณสามารถล่องเรื่อข้ามฟากชื่นชมสองฝั่งของดูไบได้ ตรงท่าขึ้นเรือตรงข้ามกับโรงแรมคอนติเนนตัลในฝั่ง Deira และ ตรงข้ามกับซุกเก่าในเขต Bur Dubai และที่กับภาพความสวยงามเหล่านั้นได้อย่างชัดเจนที่สุดคือตรงจุดที่เรียกว่า abra ซึ่งเป็นทางเข้าทางน้ำเล็กๆ กั้นระหว่างซุก Deira กับด้าน Bur Dubai และหากคุณล่องเรือไปจนสุดปลายอ่าว คุณจะเห็นทะเลสาบบนเกาะหินปะการังขนาดใหญ่และเป็นที่ตื้นเขิน ซึ่งในปัจจุบันกลายเป็นที่อพยพของสัตว์ โดยเฉพาะนก ที่ในฤดูหนาวจะอพยพมาตั้งหลักแหล่งในคราวเดียวกันถึง 27,000 ตัว โดยเฉพาะนกฟลามิงโกใหญ่

Wild Wadi
ถัดจากโรงแรม Jumerah Beach ไปไม่ไกลนัก คุณจะได้พบกับสวนน้ำติดอันดับหนึ่งของโลกที่มีขื่อว่า Wild Wadi ที่นี่คุณจะได้พบกับเครื่องเล่นที่เร้าใจและสนุกสนานเพลิดเพลิน แนะนำเครื่องเล่น Log River, Ring Ride, Flood River, Wave Pool, Flow Rides และอื่นอีกมาก

หมู่บ้านนักท่องเที่ยว Al Boom
อยู่ติดกับสวนสาธารณะ Creekside คุณจะได้ตื่นตาตื่นใจกับร้านขายอาหาร คอฟฟี่ช็อป ภัตตาคาร และสวนสนุกมากมาย ท่ามกลางบรรยายกาศ และวิวทิวทัศน์ของทะเลสาบ และเรือนำเที่ยวขนาดใหญ่ที่จอดรอรับลูกค้า
สถานที่ประวัติศาสตร์
หากคุณเป็นผู้หนึ่งที่ชื่นชอบเรียนรู้ประวัติศาสตร์ของชนชาติต่างๆ คุณก็ต้องไม่พลาดที่จะเยี่ยมชมสถานที่สำคัญของดูไบ เป็นที่ที่คุณสามารถพบเห็นเครืองมือเครื่องใช้ซึ่งเป็นผลผลิตที่เกิดจากมนุษย์จากยุคศตวรรษที่ 7 จนถึงศตวรรษที่ 15

นอกจากเที่ยวชม และชอปปิ้งสินค้าปลอดภาษี รวมถึงสำรวจเมืองเรียบร้อยแล้ว กิจกรรมที่น่าสนใจอื่นของดูไบ ที่อยากท้าให้ลอง คือ การขี่ม้า ขี่อูฐ และสำหรับท่านที่ชอบการออกรอบ สนามตีกอล์ที่ดูไบนี้ก็ขึ้นชื่อว่าเป็นหนึ่งในสนามกอล์ฟคุณภาพแห่งหนึ่งของโลก ที่อำนวยความครบครันในเรื่องของความสะดวกสบาย ความใหญ่โต และความสวยงาม ในบรรยากาศของท้องทะเลทราย ที่กว้างใหญ่แต่ไม่เวิ้งว้าง

การเดินทาง
สำหรับการทำวีซ่าดูไบนั้น ไม่สามารถยื่นเรื่องขอได้ที่สถานฑูตที่เมืองไทย ต้องยื่นผ่านบริษัททัวร์หรือสายการบินเอมิเรสต์ใช้เวลาขั้นต่ำ ประมาณ 1 อาทิตย์ และสามารถอยู่ได้ 1 เดือนเท่านั้น สอบถามรายละเอียดได้ที่สำนักงานสายการบินเอมิเรตส์กรุงเทพฯ โทร 0-2664-1040-4 หรือเข้าเยี่ยมชมเว็บไซดต์ www.emirates.com/th

เอกสารสำหรับขอวีซ่า- หนังสือเดินทาง (Passport) ตัวจริง มีอายุเหลือมากกว่า 6 เดือนขึ้นไป นับจากวันเดินทาง, มีหน้าวีซ่าเหลือมากกว่า 2 หน้าขึ้นไป- ที่อยู่พร้อมเบอร์โทรศัพท์ที่สามารถติดต่อได้

วันจันทร์ที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2552

อาหารแก้หวัด



อาหารดีๆที่ใช้แก้หวัด


อาหารไทยไม่เพียงให้ความอร่อย ยังแก้หวัดได้ มีหลายๆ คนเป็นหวัดเรื้อรัง จึงมีคำถามมาว่ากินอาหารประเภทไหนดีจึงจะต้านหวัดได้และทำให้บรรเทาการเจ็บ คอไอและมีน้ำมูก

หลายๆ คนบอกว่ากินส้มมากๆ จะช่วยให้หายหวัด เพราะส้มมีวิตามินซี แต่ความจริงแล้วอาหารที่มีวิตามินซีต้องกินทุกๆ วัน จะป้องกันการเป็นหวัดได้ แต่ถ้าเป็นแล้ววิตามินซีช่วยน้อยมาก แต่ถ้าเรากินอาหารครบห้าหมุ่ และกินผลไม้และผักที่มีวิตามินซีสูงเป็นประจำ โอกาสที่จะเป็นหวัดน้อยกว่าคนที่ไม่ชอบกินผลไม้และผักที่มีวิตามินซี

ถ้า จะสรุปง่ายๆ ก็พูดได้ว่าวิตามินซีป้องกันหวัดได้ ถ้ารู้ตัวว่าร่างกายไม่ค่อยแข็งแรง ติดหวัด เป็นหวัดง่าย ก็ต้องกินผักและผลไม้ให้วิตามินซีมากๆ เช่น ส้ม มะละกอสุก มะม่วง ฝรั่ง สับปะรด ส้มโอ ชมพู่ พุทรา มะขาม แตงโม ฯลฯ

ถ้าเป็นแล้ว นอกจากพักผ่อนให้เพียงพอแล้ว ควรดื่มน้ำอุ่น กินอาหารให้ครบคุณค่า คืออาหารประเภทผัก ผลไม้ อาหารประเภทมีเส้นใย เพื่อไม่ให้ท้องผูก คือต้องให้ขับถ่ายปกติ ถ้าท้องผูกจะทำให้อาการหวัดเพิ่มขึ้น

อาหาร ที่ช่วยไล่น้ำมูก หายคัดจมูก ทำให้จมูกโล่ง คืออาหารที่มีรสเผ็ด คืออาหารที่มีส่วนประกอบของเครื่องปรุงที่ใช้พริก เช่น พริกไทย พริกชี้ฟ้า พริกขี้หนู พริกแห้ง

เมื่อกินอาหารที่มีรสเผ็ด น้ำมูกน้ำตาจะไหล เมื่อน้ำมูกไหลก็ทำให้การหายใจสะดวกโล่งจมูก คนไทยเรามีวิธีกินพริกให้อร่อยอย่างมีสุนทรีย์ คือไม่ใช่เคี้ยวพริกเปล่า คุณกินเมี่ยงคำ กินพริกให้มากกว่าปกติและกินขิงแก่ๆ ที่มีรสเผ็ด กินต้มยำกุ้งก็กินพริกขี้หนูในต้มยำกุ้ง หรือกินแกงเลียงที่ใส่พริกไทยมากกว่าปกติ หรือกินส้มตำใส่พริกขี้หนูมากกว่าปกติ เติมพริกป่นลงในผัดไทย หมี่กะทิ ผัดกะเพรา หรือลาบต้มแซบใส่พริกป่นพริกแห้งทอดมากๆ ใส่ทั้งใบกะเพรา ใบโหระพา เพียงแค่นี้รับรองได้ว่าหายมึนศรีษะ โล่งจมูก ดีกว่าหายาลดน้ำมูกที่กินแล้วหายๆ คืนๆ

การกินอาหารประเภทใส่พริกหรืออาหารที่มีรสเผ็ด ไม่ต้องกินอย่างเคร่งครัดที่ต้องกินทุกมื้อ กินวันละมื้อ หรือ 2 วัน หนึ่งมื้อ ก็คิดว่าเพียงพอ

นอกจากนี้ก็มีหัวหอม กระเทียม ช่วยรักษาการเจ็บคอ คันคอได้ เจ็บคอมีความจำเป็นต้องใช้เสียง คือสอนหนังสือ จึงละลายเกลือกับน้ำอุ่นแล้วกลั้วคอ กลืนและดื่ม ตัดใจเคี้ยวกระเทียมสดๆ 4-5 กลีบ กระเทียมไทย ก่อนเข้าชั้นสอบปรากฏว่าอาการคันคอ เจ็บคอไม่รบกวนขณะที่ใช้เสียง ไม่เสียมารยาทที่ต้องกระแอมกระไอ สลับฉากการอธิบาย

สมัยรัชกาลที่ 5 เมื่อทรงประชวรโรคหวัด ห้องเครื่องก็จะต้มจิ๋วให้เสวยซึ่งเป็นทั้งพระกระยาหารและพระโอสถ เพราะในเครื่องปรุงมีทั้งพริก หัวหอม ใบโหระพา ใบกะเพรา น้ำมะขามเปียก น้ำมะนาว ปัจจุบันรู้กันว่าจากผลงานวิจัย เหตุที่หัวหอมและกระเทียมช่วยบรรเทาหวัดได้ ผลมาจากสารเคมีที่อยู่ในหัวหอมและกระเทียม

อาหารที่ใช้หัวหอมและกระเทียมเป็นส่วนผสม เช่น ลาบ พล่าเนื้อ พล่ากุ้ง แสร้งว่า ยำไข่ต้ม ยำปลากระป๋อง ปลานึ่ง มะนาวกระเทียมสด ต้มยำไก่บ้าน ต้มยำปลาช่อน เป็นต้น

นอกจากนี้แพทย์แผนไทยบอกไว้ว่ากะเพราะช่วยรักษาหวัดได้ เพราะความเผ็ดร้อนของกะเพรา เรามีวิธีกินกะเพราให้อร่อยไม่เพียงแต่ใส่ในผัดกะเพรา คุณลองทำต้มปลาสมุนไพร ใส่หัวหอมบุบ ใส่ตะไคร้ซอย ใบมะกรูด ใบกะเพรา และพริกขี้หนูบุบ 2-3 เม็ด ลงในน้ำแกง แล้วปรุงรสด้วยน้ำปลา น้ำมะนาว ให้รสจัดๆ ช่วยลดอาการของหวัดได้อย่างดี อาหารที่ใส่กะเพรามีหลายอย่าง เช่น แกงป่า ต้มแซ่บ เป็นต้น

เมื่อเป็นหวัดต้องดื่มน้ำมากๆ น้ำธรรมดาที่สะอาด ไม่จำเป็นต้องเป็นน้ำแร่ ดื่มน้ำอุ่นหรือน้ำสมุนไพร เช่น น้ำตะไคร้ น้ำกะเพรา น้ำมะตูม ต้ำใบเตย ไม่ควรดื่มน้ำเย็น น้ำเย็นทำให้อาการเจ็บคอเพิ่มขึ้น บางครั้งเสียงจะหายไปเพราะกินของเย็นหรือดื่มของเย็นๆ

เป็นหวัดควรจิบน้ำอุ่นหรือเครื่องดื่มสมุนไพรอุ่นๆ ตลอดเวลา จะช่วยให้ชุ่มคอ เป็นหวัดต้องดื่มน้ำอุ่นเป็นพิเศษอย่างน้อยวันละ 10 แก้ว

อาหารเช้าสำคัญกับเรามากๆ


อาหารเช้าสำคัญมาก


หมอที่โรงพยาบาลฯอบรมว่าทุกคนต้องกินอาหารเช้าให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้หลากหลาย เพราะเมื่อร่างกายไม่มีพลังงานจากอาหารเช้าไปใช้ ร่างกายจะดึงสารอาหารจากอวัยวะส่วนอื่นออกมา (ไม่ใช่ไขมัน ไขมันยังอยู่เหมือนเดิม) ซึ่งภายใต้กระบวนการนี้จะเกิดกรดชนิดหนึ่งออกมาด้วย ซึ่งการที่เราบอกว่าไม่กินข้าวเช้า ก็ยังทำงานได้เป็นปกติมาตั้งหลายปีแล้ว นั่นคือ ร่างกายได้นำเอากรดที่เกิดขึ้นมาใช้แทนพลังงานทุกวัน เราจึงทำงานโดยใช้กรดแทนพลังงาน และเมื่อร่างกายต้องผลิตกรดออกมาบ่อยๆ พออายุมากขึ้นเราก็จะเป็นโรคตามมาหลายอย่าง นอกจากนี้ เรารู้หรือไม่ว่า โดยปกติแล้วร่างกายของมนุษย์เราผลิตสารพิษอยู่ภายในร่างกายตลอดเวลา เป็นขยะ เหมือนรถที่เมื่อเติมน้ำมันเข้าไปแล้วก็จะมีควันออกมา ภาษาทางการแพทย์เขาเรียกขยะในร่างกายนี้ว่า สารอนุมูลอิสระ (oxidant) เกิดจากการสันดาปพลังงานของร่างกาย แล้วคายของเสียออกมา(ไม่ใช่อุจจาระนะ คนละแบบ)
นอกจากนี้ร่างกายจะเร่งผลิตสารอนุมูลอิสระอีกก็ต่อเมื่อเวลาเราเครียดหรือต้อง ทำงานหนัก ใช้สมอง ประกอบกับเจอมลภาวะต่างๆ สภาพแวดล้อมที่เป็นพิษ อุปนิสัยการดื่มสุรา สูบบุหรี่ ก็ยิ่งเป็นตัวสร้างให้เกิดสารพิษนี้มาก
การนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอตอนกลางคืนเป็นหนทางและเวลาสำคัญที่ร่างกายจะสร้างสารต่อต้านสารอนุมูลอิสระ (anti-oxidant) ขึ้น เพื่อกำจัดสารอนุมูลอิสระที่เกิดตอนกลางวัน การนอนให้เพียงพอและหลับสนิทจะเป็นประโยชน์ไม่เฉพาะการกำจัดของเสีย แต่ยังช่วยให้เม็ดเลือดแดงของคนเราแข็งแรง สร้างฮอร์โมนเพศทำให้ร่างกายสมบูรณ์ มีน้ำมีนวล คุณหมอเอาภาพขยายเม็ดเลือดแดงของผู้จัดการชายอายุ 35 คนหนึ่งซึ่งเป็นคนไข้มาให้ดู เปรียบเทียบกัน 2 ภาพ ผู้ชายคนนี้เหมือนมนุษย์งานทั่วไป ทำงานหนักและเครียดขาดการพักผ่อนที่เพียงพอ ปรากฎว่าจำนวนเม็ดเลือดแดงของเขามีลักษณะเป็นก้อนขยุกขยุย ไม่เป็นรูปทรงกลม เหมือนกลุ่มเม็ดเลือดแดงที่ควรเป็น เกิดความผิดปกติขึ้นเนื่องจาสารอนุมูลอิสระที่เกิดขึ้นจำนวนมาก ไปทำลายเซลล์เม็ดเลือดแดงในร่างกาย ซึ่งก็จะนำมาซึ่งโรคร้ายจำนวนมากอย่างที่คนไทยกำลังนิยมอยู่ จงจำไว้ว่า

1.ทานอาหารเช้าแบบราชา อาหารกลางวันพอประมาณ และอาหารเย็นแบบยาจก หลีกเลี่ยงไขมันและของหวาน ออกกำลังกายให้ได้วันละอย่างน้อย 30-40 นาที(20 นาทีแรกร่างกายเผาผลาญคาร์โบไฮเดรต อีก 10-20 นาทีต่อมาร่างกายจึงจะค่อยเผาพลาญไขมัน)
2.นอนหลับ หรือ หลับนอนก็แล้วแต่ ให้เพียงพอ
3.รับแสงแดด ช่วง 8.00-9.00 ซึ่งมี UV ที่เป็นประโยชน์
4.พยายามเริ่มต้นวันใหม่ด้วยการหัวเราะ ขำขัน ถ้าบ้าได้ก็ดี ชีวีจะเป็นสุข

วันเสาร์ที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2552

วิตามินที่จำเป็นต่อสุขภาพ ที่เราควรรู้



วิตามินเอ
วิตามินเอ มีส่วนประกอบสำคัญของคอร์เนีย และยังมีผลต่อการเจริญเติบโต การสร้างกระดูก และระบบสืบพันธุ์ นอกจากนี้ ยังป้องกันกานติดเชื้อระบบทางเดินอาหาร ระบบทางเดินหายใจ และระบบขับปัสสาวะ ทำให้ผิวและผมแข็งแรง

ค้นพบโดย ดร. อี.วี. แมคคอลลัม (E.V. McCollum) นักวิทยาศาสตร์ชาวสหรัฐอเมริกา

วิตามินเอ แบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม

อยู่ในรูปแบบวิตามินอยู่แล้ว (Proformed Vitamin A)หรือเรียกว่า Retinol ซึ่งได้มาจากเนื้อสัตว์ เช่น น้ำมันตับปลา
กำลังจะเป็นวิตามินเอ (Provitamin A) หรือเรียกว่า Carotene เป็นสารที่เมื่อเข้าสู่รางกายจึงได้รับการเปลี่ยนเป็นวิตามินเอ พบมาในผักสีต่างๆ เช่น แครอท ผักโขม

ประโยชน์
ช่วยบำรุงสายตา และแก้โรคตามัวตอนกลางคืน (Night Blindness)
ช่วยให้กระดูก ผม ฟัน และเหงือกแข็งแรง
สร้างความต้านทานให้ระบบหายใจ
ช่วยสร้างภูมิชีวิตให้ดีขึ้น และทำให้หายป่วยเร็วขึ้น
ช่วยในเรื่องของผิวพรรณ ลดการอักเสบของสิว และช่วยลบจุดด่างดำ
ช่วยบรรเทาโรคเกี่ยวกับไทรอยด์

แหล่งวิตามินเอ
ผักผลไม้ที่ให้วิตามินเอส่วนใหญ่จะมีสีเหลือง ส้ม แดง และเขียวเข้ม เพราะมีเบต้าแคโรทีนและแคโรนอยด์ที่ร่างกายจะเปลี่ยนเป็นวิตามินเอต่อไป เนื่องด้วยวิตามินเอในผักผลไม้มีความไวต่อออกซิเจนมาก ดังนั้นวิธีการต้มที่ป้องกันการสูญเสียวิตามิน
ได้ดีทีสุดคือ ควรปิดฝาภาชนะขณะต้มและใส่น้ำน้อยๆ

ร่ายกายต้องการวิตามินเอในแต่ละวันอยู่ที่วันละ 4,000-5,000 IU

อันตรายจากการขาดวิตามินเอ
โรคผิวหนัง เนื่องจากวิตามินเอมีส่วนสำคัญในการรักษาสภาพเยื่อบุผิวหนัง ขาดวิตามินเอทำให้ผิวพรรณขาดความชุ่มชื้น หยาบกร้าน แห้งแตก โดยเฉพาะผิวหนังบริเวณข้อศอก ตาตุ่มและข้อต่อด่างๆ ซึ่งอาจนำไปสู่โรคผิวหนัง เช่น สิวและโรคติดเชื้ออื่นๆ ได้
ตาฟาง หน้าที่ของวิตามินเอคือช่วยในการสร้างสารที่ใช้ในการมองเห็น หากขาดจะทำให้มองเห็นได้ยากในเวลากลางคืนหรือในที่แสงสว่างน้อย และทำให้เยื่อบุตาแห้ง กระจกตาเป็นแผล ในกรณีที่ร่างกายขาดวิตามินเออย่างรุนแรงอาจทำให้ตาบอดได้
ความต้านทานโรคต่ำ วิตามินเอเป็นตัวช่วยสำคัญที่ทำให้ระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายของเราทำงานตามปกติ การขาดวิตามินเอจึงทำให้เกิดโรคติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจได้ง่าย อีกทั้งยังทำให้เกิดการอักเสบในโพรงจมูก ช่องปาก คอ และที่ต่อมน้ำลาย

อันตรายจากการได้รับวิตามินเอเกิน
แท้งลูกหรือพิการ หญิงมีครรภ์ที่ได้รับวิตามินเอมากเกินไปมีความเสี่ยงต่อภาวะทารกในครรภ์คลอดออกมาพิการหรือแท้งได้ เนื่องจากวิตามินเอมีผลต่อการเจริญเติบโตของเด็กในครรภ์ ซึ่งอาจทำให้เด็กมีความผิดปกติที่ทางเดินปัสสาวะ กระดูกผิดรูป หรือมีติ่งปูดออกมาที่บริเวณหู
อ่อนเพลีย หากร่างกายได้รับวิตามินเอเกินครั้งละ 15,000 ไมโครกรัม จะมีผลทำให้รู้สึกอ่อนเผลียและอาเจียนได้
เจ็บกระดูกและข้อต่อ เบื่ออาหาร เซื่องซึม นอนไม่หลับ กระวนกระวาย ผมร่วง ปวดศีรษะ ท้องผูก ทั้งหมดนี้เป็นโทษในระยะยาวที่เกิดจากการรับประทานวิตามินเอมากเกินไป


วิตามินบี1
วิตามินบี1 หรือ Thiamin เป็นวิตามินที่ร่างกายไม่สามารถสร้างขึ้นเองได้ ต้องรัปประทานอาหารหรืออาหารเสริม มีคุณสมบัติพิเศษคือไม่มีพิษตกค้าง ถ้ามีมากเกินไป ร่างกายจะขับออกมาทันที

ประโยชน์
จำเป็นต่อการทำงานของสมอง ระบบประสาท ระบบย่อย หัวใจและกล้ามเนื้อ
ช่วยให้เจริญอาหารและช่วยในการเจริญเติบโตของร่างกาย
ช่วยแก้อาการเมาคลื่นและเมาอากาศ
ช่วยเพิ่มภูมิชีวิตและรักษางูสวัดให้หายเร็วขึ้น

วิตามินบี2
ใช้ในการเจริญเติบโต เมื่อขาดจะกลายเป็นคนแคระแกรน จำเป็นต่อเอนไซม์และกระบวนการเมตาบอลิสมของสารอาหารต่างๆ ในร่างกาย โดยเฉพาะไขมัน ป้องกันไขมันอุดตันในเส้นเลือด อันเป็นสาเหตูให้เส้นเลือดแข็งตัว ขจัดไขมันชนิดอิ่มตัวในเส้นเลือด เหตุนี้เองวิตามินบี2 จึงได้สมญาว่า "วิตามินป้องกันไขมัน" วิตามินบี2 ช่วยระงับอาการตาแฉะได้ จึงใช้เป็นส่วนประกอบในยาหยอดตา

วิตามินบี3
วิตามินบี3 หรือ ไนอะซิน (Niacin) สามารถต่อสู้กับคอเลสเตอรอลในเลือดสูงและช่วยชีวิตผู้ป่วยโรคหัวใจเป็นจำนวนมาก

ประโยชน์
ช่วยทำลายพิษหรือท็อกซินจากมลพิษ แอลกอฮอล์และยาเสพติด
รักษาโรคทางจิตและโรคเกี่ยวกับความผิดปกติทางสมอง
ช่วยให้อาการต่างๆ ของผู้ป่วยเบาหวานดีขึ้น
ช่วยรักษาโรคปวดหัวไมเกรน
ช่วยบรรเทาโรคอาร์ไทรทิสหรือข้ออักเสบ
ช่วยกระตุ้นและแก้ไขความบกพร่องทางเพศ
ช่วยลดความดันโลหิตสูงประจำ

วิตามินบี
5
วิตามินบี5 หรือ Pantothenic Acid เป็นวิตามินในการสร้างความเจริญเติบโตของร่างกาย ช่วยสร้างเซลล์ใหม่และช่วยบำรุงระบบประสาท
ร่างกายคนเราต้องการวิตามินบี5 อย่างน้อย 200 มิลลิกรัม

ประโยชน์
ช่วยสร้างแอนติบอดีซึ่งเป็นตัวสำคัญของภูมิชีวิต
เมื่อร่างกายเปลี่ยนไขมันที่สะสมไว้ให้เป็นน้ำตาลเพื่อสร้างพลังงาน วิตามินบี5 จะเป็นตัวสำคัญในการเปลี่ยนไขมันเป็นน้ำตาล
ช่วยให้บาดแผลหายเร็วขึ้น
ช่วยให้ร่างกายหายจากการช็อกหลังการผ่าตัดใหญ่
ช่วนให้อาการอ่อนเพลียหายเร็วขึ้น

วิตามินบี6


วิตามินบี6 หรือ Pyridoxine เป็นวิตามินที่มักใช้ร่วมกับบี1 และบี12 ซึ่งวิตามินบี1 ทำงานกับคาร์โบไฮเดรตส่วนวิตามินบี6 และบี12 ทำงานร่วมกับโปรตีนและไขมัน ร่างกายคนเราต้องการวิตามินบี6 ประมาณ 1.5 มิลลิกรัม

ประโยชน์
ช่วยเปลี่ยนกรดอมิโนให้เป็นวิตามินบี3 หรือไนอะซิน
ช่วยร่างกายสร้างภูมิต้านทานแอนติบอดี และช่วยสร้างเซลล์โลหิตใด้ดียิ่งขึ้น
ช่วยร่างกายสร้างน้ำย่อยในกระเพาะอาหารและแร่ธาตุแมกนีเซียม
ช่วยบรรเทาโรคที่เกิดจากระบบประสาทและผิวหนัง
ช่วยบรรเทาการคลื่นไส้อาเจียน
ช่วยบรรเทาอาการปากแห้งและคอแห้ง
ช่วยแก้การเป็นตะคริว แขนขาชาและช่วยขับปัสสาวะ

วิตามินบี
12
วิตามินบี 12 (Cyanocobalamin) เป็นวิตามินชนิดละลายน้ำ ผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับต่อมไทรอยด์ให้ระวังการดูดซึมของบี12 สู่ร่างกายจะบกพร่องและเป็นผลให้เกิดโรคโลหิตจาง ควรกินวิตามินชนิดนี้ควบกับแคลเซียมจะทำให้การดูดซึมสู่ร่างกายดีขึ้น
ประโยชน์
ช่วยสร้างเม็ดเลือดแดง
ช่วยให้เด็กเติบโตและเจริญอาหาร
ช่วยให้ระบบประสาททำงานได้ดี
ช่วยให้สมองไม่ฟุ้งซ่าน ความจำดีและมีสมาธิ


วิตามินซี
วิตามินซี เป็นวิตามินที่ช่วยเพิ่มภูมิชีวิตได้เป็นอย่างดี เพราะสามารถป้องกันและรักษาการอักเสบอันเนื่องมาจากแบคทีเรียและไวรัสได้

ประโยชน์
เป็นตัวสร้างคอลลาเจน ซึ่งเป็นเส้นใยทำหน้าที่เชื่อมเนื้อเยื่อต่างๆ ไว้ด้วยกัน ทั้งยังเป็นตัวสร้างกระดูก ฟัน เหงือก และเส้นเลือด
ช่วยให้แผลสดและแผลไฟไหม้หายเร็วขึ้น
ช่วยให้การดูดซึมธาตุเหล็กดีขึ้น ซึ่งเป็นการสร้างเม็ดเลือดทางอ้อม
ช่วยป้องกันการเปลี่ยนแปลงของเซลล์ (Mutation)
ช่วยป้องกันไม่ให้เกิดโรคนอนหลับตายในกรณีเด็กอ่อน (SIDS: Sudden Infant Death Syndrome)
ช่วยแก้โรคเลือดออกตามไรฟัน
ช่วยลดคอเลสเตอรอลในเลือด
ช่วยคลายเครี่ยด

แหล่งวิตามินซี
แหล่งวิตามินซีมีมากในผักตระกูลกะหล่ำ การเก็บเกี่ยวผักผลไม้ตั้งแต่ยังไม่แก่จัด ไม่สุกดี หรือนำไปผ่านการแปรรูป ไม่ว่าจะเป็นการตากแห้ง หมักดอง จะทำลายวิตามินซีที่อยู่ในอาหารไปในปริมาณมาก

ความร้อนทำลายวิตามินซีได้ง่ายจึงไม่ควรต้มหรือผัดนานเกินไป แต่การแช่เย็นไม่ได้ทำให้ผักผลไม้สูญเสียวิตามินซีเพียงข้อเสียอยู่ตรงที่เมื่อนำออกมาวางในอุณหภูมิปกติแล้ว ออกซิเจนในอากาศจะทำให้วิตามินซีสลายตัวเร็ว

ปริมาณวิตามินซีที่ร่างกายต้องกันอยู่ที่วันละ 60-90 มิลลิกรัม

อันตรายจากการขาดวิตามินซี
ผู้ที่ขาดวิตามินซีมักมีอาการอ่อนเพลีย เบื่ออาหาร ปวดตามข้อต่อของร่างกาย เลือดออกตามไรฟัน เจ็บกระดูก
แผลหายช้า เนื่องจากวิตามินซีทำหน้าที่ต่อต้านการอักเสบและช่วยซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอของร่างกาย การได้รับวิตามินซีไม่เพียงพอจะทำให้เส้นเลือดในร่างกายอ่อนแอ และทำให้บาดแผลที่เกิดขึ้นตามส่วนต่างๆ ของร่างกายหายช้ากว่าปกติ
เป็นโรคติดเชื้อได้ง่าย คุณสมบัติของวิตามินซี คือ เป็นตัวต่อต้านสารก่อมะเร็งและช่วยควบคุมระบบภูมิคุ้มกัน ถ้าร่างกายขาดวิตามินซีจะส่งผลให้ระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายลดต่ำลงและทำให้ติดเชื้อไวรัสและแบคทีเรียได้ง่าย
เป็นโรคลักปิดลักเปิด ในกรณีของเด็กหรือผู้สูงอายุที่ได้รับวิตามินซีน้อยกว่าวันละ 10 มิลลิกรัม อาจทำให้เป็นโรคลักปิดลักเปิดได้ หากร่างกายขาดวิตามินซีมากเกินปกติอาจทำให้มีลูกยาก เป็นโรคโลหิตจางและมีภาวะความผิดปกติทางจิตได้

อันตรายจากการได้รับวิตามินซีมากเกินไป
เกาต์ เนื่องจากวิตามินซีมีหน้าที่ในการช่วยเพิ่มการดูดซึมธาตุเหล็กในร่างกาย การรับวิตามินซีในปริมาณมากจะทำให้เกิดปัญหาการสะสมธาตุเหล็กตามกระดูกข้อต่อต่างๆ มากขึ้น และอาจทำให้เกิดโรคเกาต์ได้ในที่สุด
นิ่วในไต การได้รับวิตามินซีมากเกินไปอาจไปรบกวนการดูดซึมของทองแดงและซีลีเนียม ซึ่งส่งผลให้มีอัตราเสี่ยงต่อการเกิดนิวในไต หากได้รับวิตามินซีเกินวันละ 10,000 มิลลิกรัม อาจทำให้ท้องเสีย ท้องอืด ท้องเฟ้อได้


วิตามินดี
วิตามินดี (CALCIFEROL หรือ ERGOSTEROL) เป็นวิตามินที่ร่างกายต้องการเพื่อการรักษาภาวะสมดุลของระดับแคลเซียมในเลือดและในกระดูก เมื่อร่างกายได้รับแสงแดด ร่างกายสามารถสร้างวิตามินดีได้เมื่อผิวหนังได้รับแสงแดด ในกรณีที่ไม่ถูกแดด จำเป็นจะต้องได้รับวิตามินดีจากอาหารให้มากขึ้น เมื่อได้รับแสงแดดพอ ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องเสริมด้วยการรับประทานวิตามินดีในรูปวิตามินรวม หรือรับประทานอาหารที่มีการเสริมด้วยวิตามินดี

วิตามินดีที่เข้าร่างกายจะถูกนำไปเก็บที่ตับเป็นส่วนใหญ่ นอกจากนี้จะเก็บที่ผิวหนัง สมอง ตับอ่อน กระดูก และลำไส้ได้ วิตามินดีจะเสียง่ายเมื่อถูกออกซิเดชัน ละลายในตัวทำลายไขมันและไม่ละลายน้ำอาหารที่มีวิตามินดีพบได้ทั้งในพืชผัก ผลไม้ และในเนื้อเยื่อของสัตว์แต่ดูเหมือนจะเป็นวิตามินชนิดเดียวที่มีอยู่น้อยมากในพืชและผัก ที่พบมากได้แก่ น้ำมันตับปลา ไขมัน นม เนย ตับสัตว์ ตับปลาคอด (COD) ปลาทู ไข่แดง ปลาแซลมอน ปลาซาดีน ปลาแมคเคอร์เรก

วิตามินดีช่วยในการดูดซึมแคลเซียมและฟอสฟอรัส มีความสำคัญในการสร้างกระดูกและฟันและการเจริญเติบโตตามปกติของเด็ก,วิตามินดีมีผลต่อการดูดซึมกลับของกรดอะมิโนที่ไต ,ช่วยสังเคราะห์น้ำย่อยใน mucous membrane ,ควบคุมปริมาณของแคลเซียมและฟอสฟอรัสในกระแสโลหิตไม่ให้ต่ำลงจนถึงขีดอัตราย ,เกี่ยวข้องกับการใช้ฟอสฟอรัสในร่างกาย ,ช่วยสังเคราะห์ Mucopolysaccharide ซึ่งเป็นสารที่จำเป็นในการสร้าง คอลลาเจน,เกี่ยวข้องกับการใช้เกลือซิเตรทในร่างกายอาจจำเป็นในการทำงานของระบบประสาท การเต้นของหัวใจ การแข็งตัวของเลือด

ถ้าขาดวิตามินดีทำให้เกิดโรคกระดูกอ่อนในเด็กเรียก Rickets และในผู้ใหญ่เรียกว่า Osteosarcoma มีปัญหาเกี่ยวกับการดูดซึมแคลเซียมเข้าร่างกาย รูปร่างจะไม่สมประกอบ น้ำหนักลด ฟันผุ เติบโตช้า กระดูกสันหลังโก่ง ข้อมือ เข่า และกระดูกข้อเท้าโต ความต้านทานต่อโรคต่าง ๆ ลดน้อยลง เช่นหวัด ปอดบวม วัณโรค กล้ามเนื้ออ่อนกำลังขาดความคล่องแคล่ว ว่องไว ไม่กระฉับกระเฉง ไม่มีความกระปรี้กระเปร่า กล้ามเนื้อกระตุก ถ้าได้รับวิตามินดีมากเกินไป ทำให้ปวดศีรษะ คลื่นไส้ อาเจียน ท้องเดิน เบื่ออาหาร ปัสสาวะมากผิดปกติและบ่อย กล้ามเนื้อไม่มีแรง รู้สึกเหนื่อยอ่อน มีหินปูนเกาะตามอวัยวะหรือเนื้อเยื่อของหัวใจ ผนังเส้นเลือดและปอด แต่อาการเหล่านี้นั้นจะหายภายใน 2 - 3 วันหลังจากหยุดวิตามิน

ข้อมูลทั่วไป
วิตามินดี จัดอยู่ในกลุ่มวิตามินจำพวกละลายไขมัน ร่างกายได้รับวิตามินดีสองทางด้วยกันคือ รับประทานเข้าไปแล้วซึมในร่างกายทางลำไส้ และโดยการที่ผิวหนังได้รับแสงแดดแล้วแสงอุลตราไวโอเลตจากแสงอาทิตย์จะไปกระตุ้นคอเลสเตอรอลชนิดที่อยู่ในผิวหนังให้เปลี่ยนเป็นวิตามินดี โดยตับและไตจะเปลี่ยนให้เป็นวิตามินที่มีฤทธิ์แล้วซึมเข้ากระแสโลหิตเลย ส่วนวิตามินดีที่ได้จากอาหารจะซึมเข้าลำไส้ไปพร้อม ๆ กับอาหารพวกไขมันโดยการช่วยย่อยของน้ำดี วิตามินดีที่เข้าร่างกายแล้วทั้งสองทางจะถูกนำไปเก็บที่ตับเป็นส่วนใหญ่ นอกจากนี้จะเก็บที่ผิวหนัง สมอง ตับอ่อน กระดูก และลำไส้ได้
วิตามินดี เป็นวิตามินที่ร่างกายต้องการเพื่อการรักษาภาวะสมดุลของระดับแคลเซียมในเลือดและในกระดูก เมื่อร่างกายได้รับแสงแดด ร่างกายสามารถสร้างวิตามินดีได้เมื่อผิวหนังได้รับแสงแดด ในกรณีที่ไม่ถูกแดด จำเป็นจะต้องได้รับวิตามินดีจากอาหารให้มากขึ้น เมื่อได้รับแสงแดดพอ ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องเสริมด้วยการรับประทานวิตามินดีในรูปวิตามินรวม หรือรับประทานอาหารที่มีการเสริมด้วยวิตามินดี

คุณสมบัติ
-
วิตามินดีที่บริสุทธิ์จะมีสีขาว เป็นผลึกที่ไม่มีกลิ่น ซึ่งสามารถละลายได้ในไขมันและตัวทำละลายไขมันไม่ละลายในน้ำ จะคงทนต่อความร้อน (140 องศาเซลเซียส) คงทนต่อการออกซิเดชั่น กรดและด่างอ่อน แต่เสียง่ายเมื่อถูกอัลตราไวโอเลต - ส่วนพวกสารแรกเริ่มของวิตามินดีจะเสียง่ายเมื่อถูกออกซิเดชั่น ละลายในตัวทำลายไขมันและไม่ละลายน้ำเช่นเดียวกับวิตามินดี


ชนิดของวิตามินดี
วิตามินดีเป็นกรุ๊ปทางเคมีของสารประกอบพวก สเทอรอล ซึ่งมีคุณสมบัติป้องกันโรคกระดูกอ่อน วิตามินดีจะถูกสร้างโดยฉายแสงอัลตราไวโอเลตบนสารแรกเริ่ม รูปแบบของวิตามินดีมีประมาณ 10 หรือมากกว่า แต่มีเพียง 2 รูป ที่เกี่ยวข้องกับทางโภชนาการ

วิตามินดีสอง (ergocalciferol or calciferor or vitamin D2) สารแรกเริ่มคือ เออร์โกสเทอรอล (ergosterol) พบในยีสต์ เห็ด และพืช เมื่อได้รับแสงอัลตราไวโอเลต ในช่วงความถี่ 230 นาโนมิเตอร์ (nm) จะสามารถเปลี่ยนเป็นออร์โกแคลซิเฟอรอล หรือวิตามินดีสองได้
วิตามินดีสาม (cholecalciferol or activeted 7 dehydrocholesterol or vitamin D3) จะพบในเซลล์ของคนและสัตว์ โดยผิวหนังมีสาร 7-ดีไฮโดรคอเลสเทอรอล เมื่อถูกแสงอัลตราไวโอเลต จากแสงแดด หรือจากเครื่องมือ ในช่วงความถี่ 275-300 นาโนมิเตอร์ (nm) จะสามารถเปลี่ยนเป็นคอลีแคลซิเฟอรอล (cholecalciferol) หรือวิตามินดีสามได้ การเปลี่ยนแปลงจะเกิดขึ้นบนผิวหนังในชั้น กรานูโลซัม (granulosum) 7- ดิไฮโดรคอลเลสเทอรอลสามารถสร้างขึ้นได้จากคอเลสเทอรอลที่ผนังลำไส้เล็กแล้วส่งผ่านไปยังผิวหนัง

จำนวนวิตามินดีที่เกิดขึ้นนี้ขึ้นกับสิ่งสำคัญ 2 อย่างคือ
-
จำนวนแสง U.V. จากแสงแดดตอนเช้า ฤดูอาจได้ไม่ถึง 1 ชม. ฤดูร้อนกลางวัน อาจได้แสงถึง 4 ชม. - แสง U.V. นี้ไม่สามารถผ่านหมอกควัน ฝุ่นละออง กระจก หน้าต่าง ม่านกั้นประตูหน้าต่าง เสื้อผ้าและสีของผิวหนัง ( melanin) จากการศึกษา ปริมาณของ วิตามินดีในเลือดที่ได้จากการสังเคราะห์จะเปลี่ยนไปตามฤดูกาลในฤดูร้อนความเข้มข้น ของ วิตามินดีในเลือดจะสูงกว่าในฤดูหนาว


ประโยชน์ต่อร่างกาย
วิตามินดีช่วยในการดูดซึมแคลเซียมและฟอสฟอรัส มีความสำคัญในการสร้างกระดูกและฟันและการเจริญเติบโตตามปกติของเด็ก
วิตามินดีมีผลต่อการดูดซึมกลับของกรดอะมิโนที่ไต ถ้าขาดวิตามินดี กรดอะมิโนในปัสสาวะจะเพิ่มขึ้น ถ้าวิตามินดีเพียงพออัตราการดูดซึมกลับกรดอะมิโนจะปกติ และในปัสสาวะจะลดปริมาณลง
ช่วยสังเคราะห์น้ำย่อยใน mucous membrane ซึ่งเกี่ยวข้องกับการเคลื่อนย้าย แบบ active transport ของแคลเซียมให้ข้ามเซลล์ไปได้ง่าย
ควบคุมปริมาณของแคลเซียมและฟอสฟอรัสในกระแสโลหิตไม่ให้ต่ำลงจนถึงขีดอันตราย เช่น แคลเซียมจะต้องอยู่ในเลือดประมาณ 7 มิลลิกรัม/เดซิลิตร โดยวิตามิน ดีจะกระตุ้นการดูดแคลเซียมในลำไส้เพราะมิฉะนั้นแคลเซียมจะถูกขับออกจากร่างกายไปหมด และวิตามิน ดี จะกระตุ้นการนำเอาฟอสฟอรัสมาใช้ โดยทำหน้าที่กระตุ้นตลอดเวลา
เกี่ยวข้องกับการใช้ฟอสฟอรัสในร่างกาย
ช่วยสังเคราะห์ Mucopolysaccharide ซึ่งเป็นสารที่จำเป็นในการสร้าง คอลลาเจน
เกี่ยวข้องกับการใช้คาร์โบไฮเดรต
เกี่ยวข้องกับการใช้เกลือซิเตรทในร่างกาย
หน้าที่โดยทางอ้อมก็คือ วิตามินดีจำเป็นในการทำงานของระบบประสาท การเต้นของหัวใจ การแข็งตัวของเลือด เพราะหน้าที่เหล่านี้จะสัมพันธ์กับการมีอยู่และการใช้แคลเซียมและฟอสฟอรัส ของร่างกาย

แหล่งที่พบ
พบได้ทั้งในพืชผัก ผลไม้ และในเนื้อเยื่อของสัตว์แต่ดูเหมือนจะเป็นวิตามินชนิดเดียวที่มีอยู่น้อยมากในพืชและผัก ที่พบมากได้แก่ น้ำมันตับปลา ไขมัน นม เนย ตับสัตว์ ตับปลาคอด (COD) ปลาทู ไข่แดง ปลาแซลมอน ปลาซาดีน ปลาแม็คเคอร์เรก
นมเป็นอาหารที่นิยมเสริมวิตามินดี เพราะเป็นอาหารที่มี แคลเซียม ฟอสฟอรัสและไขมัน ที่จะช่วยเพิ่มอัตราการดูดซึมจากลำไส้เล็ก ปริมาวิตามินดีที่เสริม คือ 400 IU ต่อลิตร
ปริมาณของวิตามินดีในอาหารอาจเปลี่ยนแปลงได้มากตามฤดูกาล และภาวะแวดล้อมต่างๆ เช่น การถูกแสงแดดมากหรือน้อย อาหารที่ใช้เลี้ยงสัตว์มีวิตามินดีมากหรือน้อยเพียงใด เป็นต้น

ปริมาณที่แนะนำ
ในการที่บุคคลต่าง ๆ ควรได้รับปริมาณวิตามิน ดี มากน้อยเพียงใดนั้น ขึ้นอยู่กับสาเหตุหลายประการ เช่น ไขมันในอาหาร การสร้างน้ำดีจากตับ การดูดซึมของระบบทางเดินอาหาร ความบ่อยครั้งในการถูกแสงแดดและขึ้นอยู่กับปริมาณของสารมีสี และ เคราตินที่มีอยู่ที่ผิวหนัง ถ้าผิวขาวมีสารมีสีน้อย แสงอัลตราไวโอเลตจากดวงอาทิตย์สามารถผ่านเข้าไปในชั้น Granulosum ของผิวหนังได้มาก ทำให้ 7 - dehydrocholesterol ซึ่งมีอยู่มากในชั้นนี้ถูกเปลี่ยนเป็นวิตามิน ดี สามได้มาก ถ้าผิวเหลืองเนื่องจากมีเคราตินมากหรือผิวดำเพราะมีสารมีสีมาก แสงอัลตราไวโอเลตจะผ่านเข้าไปได้น้อยทำให้มีการสังเคราะห์วิตามิน ดีสามที่ผิวหนังน้อย
วิตามิน ดี 2.5 ไมโครกรัม (100 ไอยู) สามารถป้องกันโรคกระดูกอ่อนและช่วยให้มีการดูดซึมของแคลเซียมในลำไส้อย่างเพียงพอสำหรับการสร้างความเจริญเติบโตของกระดูกและฟันในทารก แต่การกินวันละ 10 ไมโครกรัม (400 ไอยู) นั้นช่วยส่งเสริมการดูดซึมให้ดียิ่งขึ้น

ผลของการได้รับมากไป
พบในรายที่บริโภค 300,000 - 800,000 I.U ต่อวันเป็นระยะเวลานาน วิตามิน ดี ประมาณ 30,000 I.U ต่อวัน หรือมากกว่านี้จะทำให้เป็นอันตราย สำหรับทารกและประมาณ 50,000 I.U ต่อวัน จะเป็นอันตรายสำหรับเด็ก อาการเริ่มต้นด้วยคลื่นไส้อาเจียนท้องเดินปัสสาวะมากกว่าปกติ ทั้งกลางวันและกลางคืน กระหายน้ำจัด น้ำหนักตัวลด มีการสลายแคลเซียมออกมาจากกระดูกและมีการดูดซึมแคลเซียมจากลำไส้เพิ่มขึ้น ทำให้มีแคลเซียมและฟอสฟอรัสในเลือดและในปัสสาวะสูง ซึ่งแคลเซียมและฟอสฟอรัสที่มีในเลือดอาจไปจับอยู่ตามเนื้อเยื่อต่าง ๆ รวมทั้งหลอดเลือดทำให้เป็นอันตรายได้ นอกจากนี้ในรายที่เป็นมากอาจถึงตาย เพราะมีการล้มเหลวของไต ส่วนในรายที่ยังเป็นไม่มากนัก เพียงหยุดให้วิตามิน อาการต่างๆจะหายไป
อาการที่เกิดเนื่องจากร่างกายได้รับวิตามินดีมากเกินไป หรืออาการที่จำเป็นต้องสังเกตขณะที่รับประทานวิตามินดี คือปวดศีรษะ คลื่นไส้ อาเจียน ท้องเดิน เบื่ออาหาร ปัสสาวะมากผิดปกติและบ่อย กล้ามเนื้อไม่มีแรง รู้สึกเหนื่อยอ่อน มีหินปูนเกาะตามอวัยวะหรือเนื้อเยื่อของหัวใจ ผนังเส้นเลือดและปอด แต่อาการเหล่านี้นั้นจะหายภายใน 2 - 3 วันหลังจากหยุดวิตามิน
เป็นที่น่าสนใจที่เด็กสามารถสร้างวิตามินมากเกินปกติได้ ซึ่งจะพบในเด็กที่ดื่มนมผสม (Fortified Milk) อาการเช่นนี้อาจทำให้เกิดอาการแทรกซ้อนกับยาอื่น ๆ ได้ อาการอีกอย่างหนึ่งที่เกิดขึ้นถึงแม้ว่าเด็กได้รับวิตามินดี ในขนาดธรรมดา ซึ่งเป็นสิ่งที่ชี้นำให้ทราบว่าเด็กมีแคลเซียมมากในร่างกาย (Hypercalcemia) และวิตามินในร่างกายมากเกินความต้องการแล้ว สำหรับผู้ใหญ่ที่เป็นโรคปวดตามข้อ รูมาตอยด์ อาไทรติส (Rheumatoid arthritis) ถ้ารับประทานวิตามิน ดีเกินขนาดทำให้มีแคลเซียมไปเกาะที่ผนังเส้นโลหิตแดง ซึ่งจะทำให้ไตปฏิบัติหน้าที่ไม่เป็นปกติ และทำให้ความดันโลหิตสูงด้วย
นายแพทย์ Arthur A.Knapp ผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับตา ชาวอเมริกา ได้ทำการค้นคว้าเกี่ยวกับวิตามินดี กับตา บอกว่าการที่คนได้รับวิตามิน ดีไม่พอจะทำให้เกิดสายตาสั้น (MYOPIA) และจุดใหญ่แล้วเนื่องจากความไม่สมดุลของแคลเซียม


วิตามินอี
วิตามินอี เป็นวิตามินที่ช่วยในการทำงานของระบบต่างๆ ในร่างกายหลายระบบ และเป็นแอนติออกซิแดนท์ที่ช่วยให้เซลล์ต่างๆ รอดอันตรายจากท็อกซิน ช่วยชะลอความแก่ได้

ประโยชน์
เป็นตัวแอนติออกซิแดนท์ คือทำให้เกิดการเผาผลาญโดยมีออกซิเจนเป็นตัวการสำคัญทำให้ร่างกายเผาผลาญได้ดี
เป็นตัวช่วยไขกระดูกในการสร้างเลือด ช่วยขยายเส้นเลือด ต้านการแข็งตัวของเลือด ลดความสามารถในการจับตัวเป็นลิ่มเลือด และลดอัตราเสี่ยงของโรคที่เกี่ยวกับหลอดเลือดสมองและหัวใจ
บำรุงตับซึ่งทำหน้าที่เกี่ยวกับเลือดมาก
ช่วยในระบบสืบพันธุ์ เซลล์ประสาท และกล้ามเนื้อให้ทำงานได้ตามปกติ
ช่วยให้ผิวพรรณสดใส และช่วยสมานแผลไฟไหม้ น้ำร้อนลวกให้หายเร็วขึ้น
ช่วยให้ปอดทำงานดีขึ้นและไม่อ่อนเพลียง่าย

แหล่งวิตามินอี
วิตามินอีมีมากในน้ำมันจากธัญพืชและถั่วประเภทเปลือกแข็ง การเก็บรักษาให้วิตามินอีควรเก็บให้พ้นจากความร้อนแสงแดด รวมทั้งออกซิเจนในอากาศ การขัดสี การบด จะทำให้ญพืชสูญเสียวิตามินอีไปจำนวนมาก

ร่างกายคนเราต้องกรวิตามินอีอยู่ที่วันละ 10-15 IU

อันตรายจากการขาดวิตามินอี
โรคหัวใจกำเริบ วิตามินอีมีหน้าที่ในการจับสารที่เข้ามาทำลายภูมิคุ้มกันของร่างกาย การขาดวิตามินอีทำให้สารเหล่านี้เข้าไปทำปฏิกิริยากับไขมันในเลือดทำให้เนื้อเยื่อต่างๆ เสื่อมสภาพเร็วยิ่งขึ้น นำไปสู่ภาวะหลอดเลือดแดงแข็ง
ก่อให้เกิดก้อนเลือดและที่สุดทำให้เกิดโรคหัวใจกำเริบได้
ระบบประสาทมีปัญหา ในกรณีของคนที่ร่างกายมีปัญหาในการดูดซึมไขมันและในเด็กทารกที่เคลอดก่อนกำหนด การได้รับวิตามินอีต่ำกว่าปริมาณที่กำหนดอาจทำให้เกิดความเสียหาบต่อระบบประสาทและเป็นโรคโลหิตจางได้
เนื่องจากเซลล์เม็ดเลือดแดงในร่างกายถูกทำลาย

อันตรายจากการได้รับวิตามินอีมากเกินไป
การได้รับวิตามินอีมากเกินไปจะทำให้รู้สึกปวดศีรษะ กล้ามเนื้ออ่อนล้า ตาพร่ามัว อ่อนเพลีย มีอาการอึดอัดในช่องท้อง ท้องร่วง หากร่างกายได้รับวิตามินอีสูงมากอาจขัดขวางการดูดซึมวิตามินเอซึ่งส่งผลให้เลือดแข็งตัวช้า


วิตามินเค
วิตามินเค (Vitamin K) เป็นวิตามินในกลุ่มที่ละลายได้ดีในไขมัน รูปแบบที่พบในธรรมชาติ มี 2 รูปแบบ ได้แก่ วิตามินเค I (Vitamin K I) หรือ ฟิลโลควิโนน (phylloquinone) เป็นรูปแบบที่พบในพืชและสัตว์
และ วิตามินเค II (Vitamin K II) หรือ เมนาควิโนน (menaquinone) เป็นรูปแบบที่พบในเนื้อเยื่อตับ และยังสามารถสร้างได้โดยแบคทีเรียที่อาศัยอยู่ในร่างกาย สำหรับวิตามินเค III (Vitamin K III) หรือ
เมนาไดโอน (menadione) นั้น เป็นโมเลกุลที่สังเคราะห์ขึ้น ซึ่งจะถูกเปลี่ยนเป็น เมนาควิโนน โดยตับ

หน้าที่
วิตามินเค มีความสำคัญต่อการแข็งตัวของเลือด
ร่างกายใช้วิตามินเคในกระบวนการเติมหมู่คาร์บอกซิลหลังการแปลรหัสอาร์เอ็นเอเป็นโปรตีน (posttranslational carboxylation) ของกรดกลูตามิก (glutamic acid) ซึ่งจำเป็นต่อการจับกับแคลเซียมของโปรตีน
ที่มีหมู่คาร์บอกซิลในตำแหน่งแกมมา (?-carboxylated proteins) เช่น โปรธรอมบิน หรือ แฟคเตอร์ II (prothrombin or factor II) , แฟคเตอร์ VII, IX และ X (factors VII, IX and X) ,
ปรตีนซี (protein C) , โปรตีนเอส (protein S) และโปรตีนอื่นๆที่เป็นองค์ประกอบของกระดูก

ยาในกลุ่มวอร์ฟาริน (Warfarin) จะขัดขวางกระบวนการนี้ ทำให้วิตามินเคไม่สามารถเปลี่ยนไปเป็นไฮโดรควิโนน (hydroquinone) ซึ่งเป็นรูปแบบที่ออกฤทธิ์ได้


แหล่งที่พบ
วิตามินเคพบมากในอาหารประเภทผักใบเขียว นอกจากนี้ยังพบในเนื้อสัตว์ นม เนย น้ำมันมะกอก น้ำมันถั่วเหลือง กาแฟ และลูกแพร์

ปริมาณที่ร่างกายต้องการ คือ 100 ไมโครกรัมต่อวัน


ภาวะขาดวิตามินเค
อาการที่แสดงถึง ภาวะขาดวิตามินเค (Hypovitaminosis K) คือ มีเลือดออกในอวัยวะต่างๆ เช่น ช่องกระโหลกศีรษะ ลำไส้ หรือ ผิวหนัง โดยจะพบมากในช่วงอายุ 1 สัปดาห์แรกของทารกแรกเกิด
ทั้งนี้เป็นเพราะทารกมีไขมันสะสมน้อย ตับของทารกยังพัฒนาไม่สมบูรณ์ ลำไส้ยังปราศจากเชื้อแบคทีเรียที่สังเคราะห์วิตามิน ประกอบกับวิตามินเคที่ผ่านมาทางรกและน้ำนมจากมารดานั้นมีปริมาณน้อย

สำหรับภาวะขาดวิตามินเคในผู้ใหญ่นั้น มักเกิดร่วมกับสาเหตุบางอย่าง เช่น โรคเรื้อรังของระบบทางเดินอาหารบางชนิด โรคทางเดินน้ำดีอุดตัน หลังจากการผ่าตัดลำไส้เล็ก หรือได้รับยาปฏิชีวนะที่มีฤทธิ์ครอบคลุมเชื้อกว้าง

การวินิจฉัยทำได้โดยการตรวจ เวลาโปรธรอมบิน (prothrombin time ; PT) ซึ่งผู้ที่มีภาวะขาดวิตามินเคจะใช้เวลานานกว่าปกติ หรือตรวจปริมาณวิตามินเคโดยตรงด้วยวิธี HPLC

การรักษาทำได้โดยให้วิตามินเคในรูปยาฉีด 10 มิลลิกรัมครั้งเดียว ในผู้ป่วยที่โรคเรื้อรังอื่นอาจเสริมด้วยวิตามินเคในรูปยากิน 1-2 มิลลิกรัมต่อวัน หรือ ในรูปยาฉีด 1-2 มิลลิกรัมต่อสัปดาห์


ภาวะวิตามินเคเป็นพิษ
ภาวะวิตามินเคเป็นพิษ (Hypervitaminosis K) คือ การได้รับวิตามินเคมากเกินไป สามารถทำให้เกิดภาวะเม็ดเลือดแดงแตก และภาวะบิลิรูบินในเลือดต่ำในทารกได้


ข้อมูลจาก:


ชีวจิต